View Full Version : ความจริงหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จาก Manager.co.th


HulaHoopBoy
02-07-2013, 15:23
ความจริงหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จาก Manager.co.th

ทีมข่าวพิเศษของ ?เอเอสทีวีผู้จัดการ? ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตอบปัญหาของสังคมในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น ?หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก? และได้พบแง่มุมใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง โดยจะนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง

แฉประวัติกำมะลอ"ไอ้คำ"ลวงโลก โปรโมตเลิศหรู อ้างบำเพ็ญศีลภาวนาตั้งแต่ 6 ขวบ ก่อนเป็นพระอริยะสงฆ์ ขณะเรื่องจริง เป็นเด็กดื้อเงียบ ถูกให้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ม.2 เพราะตกสังคมศึกษา ก่อนครูวิชาเกษตรพาไปทำงานรีสอร์ทที่อำนาจเจริญ แล้วเงียบหาย จนกระทั่งกลายเป็นพระดัง และครอบครัวทางบ้านรวยขึ้นทันตา

หลังข่าวฉาวของ ?หลวงปู่เณรคำ? กระฉ่อนไปทั่วโลกจนส่งผลสะเทือนไปทั่วทั้งวงการพุทธศาสนาและปฏิเสธไม่ได้ว่า ?สังคมไทย?ก็ได้รับความเสียหายมากโข ถูกมองว่าเป็นสังคมที่อยู่กันอย่างไร้สติ งมงาย ขาดวุฒิทางปัญญา และคนจำนวนไม่น้อยที่ยังสับสนประวัติความเป็นมาของพระหนุ่มวัยไม่เกิน 35 ปี แต่กลับถูกเรียก ?หลวงปู่เณรคำ?

http://pics.manager.co.th/Images/556000008424504.JPEG
ไม่ว่าจะมีข่าวอื้อฉาวของเณรคำหรือไม่ ประตูบ้านหลังใหญ่แห่งนี้
ไม่เคยเปิดต้อนรับใครและไม่มีการสมาคมกับชาวบ้านที่อยู่รายรอบ


ภาพมายาสร้างตัวตน ?เณรคำ?
หากท่องในเว็บไซต์ luangpunenkham.com/ ระบุถึงประวัติของบุคคลผู้นี้ว่าพระอาจารย์ ดร.วิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม โดย หลวงปู่เณรคำ มีนามเดิมว่า ?วิรพล สุขผล? เกิดที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายรัตน์ สุขผล และนางสุดใจ สุขผล มีพี่น้อง 5 คน เป็นผู้ชายทั้งมด เมื่อบวชเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายาว่า ?ฉัตติโก?

เว็บไซต์นี้ยังสาธยายอีกว่าหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ตั้งมั่นตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ มีศรัทธาในการปฏิบัติจิต บำเพ็ญภาวนากรรมฐานมา ทุกวันพระจะหยุดเรียนนุ่งขาวห่มขาวไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาในวัด มีอิริยาบถแห่งการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด ไม่มีการพลั้งเผลอแม้แต่น้อย ทั้งวันจะเดินจงกรมสลับกับการนั่งภาวนาใต้ร่มไทร ช่วงกลางวันจะไปนอนในป่าช้า โดยหวั่นวิตกอะไร จิตนั้นนิ่งโดยตลอด ทั้งที่ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนในชาตินี้

วันธรรมดา ดช.คำก็ไปโรงเรียนตามปกติ พักเที่ยงจะไปนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ เลิกเรียนจะเข้าไปไหว้พระก่อนกลับ และเดินจงกรมกลับบ้านทุกวันเป็นกิจภายในที่ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวเอง

เข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา ดช.คำคิดอยู่เสมอว่า ?ถ้าเสร็จจากภารกิจทางโลกแล้ว เราจะไม่กลับมาทางโลกอีก เราคงเคยเกิดมาหลายชาติแล้ว เราคงพอแก่การเกิดได้แล้วในชาตินี้ เห็นอะไรก็เกิดความสลดสังเวชไปหมด จึงเป็นแนวทางทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้มาก่อน เห็นมาก่อน ตั้งแต่อดีตชาติ เหมือนกับเราจะได้ต่อเติมเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้หลุดพ้น?

โรงเรียนพิบูลมังสาหาร สถานศึกษาที่"เณรคำ"เคยศึกษาเล่าเรียนและต้องออกกลางคันเพราะสอบตกวิชาสังคม จากนั้นไม่ปรากฏว่า เขาเรียนต่อที่ไหน จนกระทั่งมาบวช

ในบันทึกประวัติยังอุปโลกอีกว่าเลิกเรียน ดช.คำ จะไปปักกลด นั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่กระต๊อบกลางน้ำ ปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทุกวัน วันพระจะถือกลดไปโรงเรียนด้วย พอเลิกเรียนจะเข้าไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาที่วัด

อายุได้ 15 ปี ได้ออกบวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 ที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่โชติ อาภัคโค เป็นอุปัชฌาย์ บรรพชาเสร็จแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร ระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมธรรมะจากพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก

จากนั้นเดินทางจาริกธุดงค์ ปักกลดอยู่ถ้ำภูตึก บ้านคุ้มปากมูล อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ขณะนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้น มีงูเหลือมตัวหนึ่งเลื้อยมาพาดขา พาดตักบ้าง บางคืนนอนอยู่ งูเหลือมจะเลื้อยมาขดอยู่บนหน้าอก หนักมาก แต่จิตไม่มีการวิตกกังวล หรือกลัวอันใดเลย เพราะชีวิตนี้บูชาคุณพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด พระธรรมเป็นใหญ่ที่สุด พระอริยสงฆ์เป็นใหญ่ที่สุด ตอนนั้นคิดแต่ว่า เราต้องทำหน้าที่ให้ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้ถึงพระธรรม ทำให้ถึงซึ่งความเป็นพระอริยสงฆ์ ความกลัวทั้งหลายจึงไม่มี และได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำภูตึกนั้นคนเดียวนานถึง 3 เดือน

วันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ได้ญัตติอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดป่าดอนธาตุ แล้วจึงเดินทางมายัง จ.ศรีสะเกษ ที่ซึ่งได้รับอาราธนานิมนต์ให้อยู่ในชาติสุดท้ายแห่งการเกิดนี้ คือที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม

ส่วนที่มาของชื่อ ?หลวงปู่เณรคำ?นั้นในเว็บไซต์เดียวกันยังอุตริต่อว่า เมื่อครั้งพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ท่านไปจาริกธุดงค์อยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พุทธศาสนิกชนพากันไปกราบคารวะนมัสการ และได้มองเห็นองค์หลวงปู่ ซึ่งท่านนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดบางๆ เป็นพระแก่ชรา แต่พอท่านเปิดกลดออกมาก็กลายเป็นเณรน้อยออกไปบิณฑบาต ขากลับจากบิณฑบาต พุทธศาสนิกชนบางคนได้มองเห็นองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระแก่ชรา อายุราว 80 ถึง 90 ปี ผมหงอก หลังค่อม เหี่ยวย่น หนังยาน บางคนฝันเห็นพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ไปยืนอยู่บนหัวเตียงเดี๋ยวเป็นเณรน้อยอายุน้อยๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นพระที่แก่ชรามาก


ทางเข้าบ้านพ่อ-แม่เณรคำ ที่อุบลฯ
เรื่องจริงที่ไม่อิงนิยายของ ? เณรคำ?

อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่สืบเสาะข้อเท็จจริงประวัติของเณรคำของทีมงาน ?เอเอสทีวีผู้จัดการ?กลับได้ข้อมูลอีกด้าน
ดช.วิรพล ไม่ได้ฝักไฝ่ธรรมแต่แต่วัยเด็กอย่างที่กล่าวอ้าง ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ออกจะเป็นคนดื้อเงียบด้วยซ้ำแต่ไม่ถึงขั้นเกเร เป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่ง ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเมื่อปี 2530 ขณะเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เพราะสอบไม่ผ่านวิชาสังคมศึกษา

หลังออกจากโรงเรียนแล้ว ก็ไม่ได้กลับเข้าไปเรียนต่ออีก เพราะฐานะทางบ้านขณะนั้นค่อนข้างยากจน ครอบครัวยึดอาชีพทำนา หาเช้ากินค่ำเหมือนเพื่อนบ้านทั่วไป เตร็ดเตร่อยู่แถวบ้านพักใหญ่ นายปริญญา มุขสมบัติ ครูสอนวิชาเกษตรอยู่ที่โรงเรียนพิบูลมังสาหาร ซึ่ง ดช.วิรพลเรียกว่า ?อาจารย์พ่อ? ได้พาไปฝากเข้าทำงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ

ในรีสอร์ตแห่งนี้ ดช.วิรพล ต้องตัดหญ้า ดูแลสวน ทำความสะอาดที่พัก เรียกได้ว่าทำงานทุกอย่างที่เจ้าของรีสอร์ตจะสั่ง และในห้วงที่ทำงานอยู่จังหวัดอำนาจเจริญนี้เองข่าวคราวของนายวิรพล ก็เงียบหายไปจากหมู่บ้านทรายมูล และไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับวิถีชนบทเมื่อคนในหมู่บ้านไปหางานทำต่างถิ่นนานๆจะกลับเยี่ยมบ้าน ไม่มีใครใส่ใจใครเพราะต่างต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ไม่ว่าจะมีข่าวอื้อฉาวของเณรคำหรือไม่ ประตูบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ ไม่เคยเปิดต้อนรับใครและไม่มีการสมาคมกับชาวบ้านที่อยู่รายรอบ
หลังปี 2540 เป็นต้นมา นายวิรพลก็เริ่มปรากฏตัวเป็นข่าวตามสื่อแขนงต่างๆเป็นระยะๆพร้อมกับการประโคมข่าวในทำนองพระหนุ่มที่หลุดแล้วจากกิเลส ซ้ำมีอภินิหารที่ให้เล่าขานกันปากต่อปาก ทุกย่างก้าวความเคลื่อนไหวของเขาไม่ต่างจากการวางแผนการใช้สื่อเป็นเครื่องมืออย่างเป็นระบบ ในห้วงนี้เองว่ากันว่าฐานะความเป็นอยู่ของโยมพ่อโยมแม่พระคำดีขึ้นทันตาเห็น

บ้านหลังใหญ่ เลขที่ 999/10 บ้านทรายมูล หมู่ 2 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร คือบ้านที่เณรคำสร้างให้โยมพ่อโยมแม่ใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดประจำหมู่บ้าน เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ โดยส่วนหนึ่งทำเป็นบ้านพักของนายรัตน์ และนางสุดใจ สุขผล โยมพ่อ-โยมแม่

อีกส่วนสร้างเป็นที่ทำการมูลนิธิหลวงปู่เณรคำ ซึ่งมีความใหญ่โตมโหฬารกว่าบ้านทุกๆหลังบริเวณนั้น ในบ้านมีรถยนต์กับรถจักรยานยนต์ชอปเปอร์จอดอยู่หลายคัน บ้านหลังนี้นอกจากโยมพ่อโยมแม่แล้วยังมีน้องชายและน้องสะใภ้ของหลวงปู่เณรคำพักอาศัยด้วย

หลายครั้งที่เพื่อนบ้านสงสัยว่าเหตุใดฐานะความเป็นอยู่ของ นายรัตน์-นางสุดใจ ดีขึ้นถึงขั้นมีอันจะกิน ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าคนในบ้านไม่ได้ทำมาค้าขายอะไรให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ทำนาทำไร่ตามประสาคนบ้านนอก แต่ข้อสงสัยเหล่านั้นไม่สามารถหาคำอธิบายจากใครได้ เพราะพ่อแม่ญาติพี่น้องพระคำมักทำหน้าไม่รับแขกและปฏิเสธที่จะร่วมวงเสวนา และไม่ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำเมื่อมีเพื่อนบ้านถามถึง

บ้านพ่อ-แม่เณรคำ อยู่ท่ามกลางบ้านญาติๆและชาวบ้านทั่วไป แต่วันนี้ปิดปากเงียบไม่มีใครยอมพูดอะไรกับใคร
นางฟาน ดอนแก้ว ญาติห่างๆ และเป็นเพื่อนบ้าน เล่าว่า เณรคำไม่ได้เดินทางมาที่บ้านหลังนี้นานหลายเดือนแล้วส่วนตนก็ไม่ทราบเรื่องราวอะไรของหลวงปู่มากนักเพราะไม่ค่อยได้พูดคุยกัน

เพื่อนบ้านอีกรายบอกว่าก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เณรคำเดินทางมาที่บ้าน จะมีรถตำรวจท้องที่และตำรวจทางหลวงขับนำขบวน รถยนต์แต่ละคันหรูราคาแพง นับ 10 คันที่มาพร้อมกับหลวงปู่เมื่อมาถึงก็จะขับรถเข้าไปจอดในบ้านและปิดประตูรั้วมิดชิด ไม่ทักทายพูดคุยกับเพื่อนบ้าน จึงไม่ทราบความเคลื่อนไหวข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำแต่อย่างใด

?พ่อรัตน์อายุกว่า 80ปีแล้ว ส่วนแม่สุดใจก็น่าจะ 70 กว่า พ่อรัตน์สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงตอนนี้ล้มป่วยอยู่ มีน้องชายและน้องสะใภ้หลวงปู่คอยดูแล ทำไร่ทำนาตามประสาคนบ้านนอก ส่วนเขาจะมีทรัพย์สมบัติที่นาที่ดินเท่าไหร่พวกฉันไม่รู้หรอก? เพื่อนบ้านรายเดิมเล่า

สำหรับคุณครูปริญญา ผู้ที่เคยมีพระคุณกับเณรคำถึงขั้นเรียก ?พ่อครู?นั้นปัจจุบันสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีบิ๊กไบค์ชอปเปอร์คันใหญ่ 2 คัน ,ห้องทำงานส่วนตัวติดตั้งเครื่องปรับอากาศ

คุณครูปริญญาพยายามเลี่ยงตอบคำถามที่เกี่ยวกับข่าวฉาวของเณรคำ เล่าให้ฟังแค่ว่า เมื่อช่วงเดือน เม.ย.2556 ที่ผ่านมาได้หารือเรื่องขอติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้กับหอประชุมใหม่ (ชั้นบน)ของโรงเรียนพิบูลมังสาหาร ซึ่งเณรคำก็รับปากที่จะให้เงินก้อนโตมาติดตั้งแอร์ แต่ยังไม่ทันได้ซื้อ ก็มาเกิดเรื่องฉาวเสียก่อน

จากการบอกเล่าของสื่อมวลชนอาวุโสในพื้นที่ทราบอีกว่าในราว 7-8 ปีก่อนหน้านี้ ลูกศิษย์ใกล้ชิดเณรคำจะนำแผ่นซีดี ที่บันทึกภาพกิจกรรมงานบุญกฐินหรืองานเทศนาธรรมของหลวงปู่มาจ้างเคเบิลในจังหวัดอุบลฯเปิดออกอากาศครั้งละ 1,000 บาท จ้างเปิดบ่อยมากเพื่อเชิญชวนคนให้ไปร่วมทุกบุญบริจาคเงินกับหลวงปู่เณรคำที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ

เป็นที่สังเกตว่าญาติโยมศิษย์เอกใกล้ชิดหลวงปู่เณรคำนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนพื้นที่ โดยมากจะอยู่กรุงเทพฯหรือหัวเมืองใหญ่ภูมิภาคอื่น เช่น ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์ เจ้าของบริษัทดอกบัวคู่ ,ดร.สุขุม วงศ์ประสิทธิ์ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม หม่ำ จ๊กมก และ เป็ด เชิญยิ้มฯลฯโดยเฉพาะเจ้าของดอกบัวคู่นั้นถือเป็นโยมอุปฐากรายใหญ่ รถยนต์ยี่ห้อดังซื้อมาถวายก็หลายคันแล้ว

เณรคำ มีคณะทำงานลูกศิษย์ใกล้ชิดทำการตลาดและทำงานประชาสัมพันธ์เก่ง จะบริจาคเงินช่วยสถาบันการศึกษาเป็นระยะๆและพระชั้นผู้ใหญ่หลายท่านในแถบอีสานใต้และอีกหลายจังหวัด เณรคำจะนำรถยนต์เก๋งราคาแพงไปถวายถึงกุฏิแล้วก็ถ่ายภาพเผยแพร่สื่อ อย่างน้อยก็ได้คะแนนศรัทธาจากญาติโยมของพระผู้ใหญ่ท่านนั้นเพิ่มมากขึ้น


ภายในบ้านมีรถจอดอยู่หลายคัน
เช่นเมื่อกลางปี 2554 เณรคำ พร้อมกับลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก นำรถเก๋งโตโยต้า แคมรี่ สีบรอนซ์ เงิน มูลค่าประมาณ 1,200,000 บาท ถวายแด่พระธรรมฐิติญาณ เจ้าอาวาสวัดบึงพะลานชัย พระอารามหลวง เจ้าคณะภาค 10 จ.ร้อยเอ็ด เพื่อเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด รถยนต์คันดังกล่าวได้จากการบริจาคจากบริษัทยาสีฟันดอกบัวคู่

และก่อนหน้านั้นปี 2553 มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ก็จัดพิธีถวายปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา ให้กับ เณรคำ โดย ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และ ผศ.ชัยวัฒน์ บุณฑริก อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ นำไปถวายถึงวัดป่าขันติธรรม

ข้อมูลที่ เล่าข้างต้นขึ้นอยู่กับผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณว่าส่วนใดน่าจะมีมูลความจริงหรือส่วนใดน่าจะเป็นเท็จ ที่บรรดาทีมงานลูกศิษย์เณรคำอุปโลกขึ้นมา เพื่อหวังผลแรงศรัทธา นำมาซึ่งทรัพย์บริจาคแลกกับความเชื่อว่าทำมากได้บุญมาก

ตามแก่นคำสอนของพุทธศาสนาแล้ว พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะไม่สะสมทรัพย์ มุ่งแต่ละกิเลส แต่พฤติกรรมของเณรคำล้วนถูกครอบงำไปด้วยตัณหา

มาถึงตรงนี้สรุปได้คำเดียวว่า ?เณรคำ?ดังได้เพราะแผนโปรโมต หากินจากความเบาปัญญาของชาวพุทธที่ยังเข้าไม่ถึงแก่นธรรม!

?
ขอบคุณ manager.co.th