View Full Version : วิธีแก้คุณไสยมนต์ดํา ท่องแล้วแก้ได้จริงหรือ คุณไสยมนต์ดํามีจริงหรือไม่


อับดุล
12-07-2013, 22:57
วันนี้จะพาอ่านสาระด้านมืดของ วิธีแก้คุณไสยมนต์ดํา ท่องแล้วแก้ได้จริงหรือ คุณไสยมนต์ดํามีจริงหรือไม่ หากถามว่าในยุคโลกาภิวัตน์นี้ยังจะมีวิชาอาคมอาถรรย์ต่าง ๆ เหลืออยู่อีกหรือ ขอบอกว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวกับกาลเวลา และหากถามว่ามีจริงหรือ ขอตอบว่า แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล หากเราไม่เชื่อนั่นก็คือไม่มีสำหรับเรา แต่หากเราเชื่อนั่นก็คือมีสำหรับเรา ทุกสิ่งล้วนมากจากความเชื่อของตนเอง อย่างเช่น หากคุณเห็นตามงานสวดภาณยักษ์ มีคนร่ายรำ เต้นเป็นลิง เป็นค่าง เป็นพระนาราย มันก็อยู่ที่คุณจะเชื่อหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นจริง ๆ เพราะสิ่งที่คุณเห็นนั้นคือ คน ธรรมดา ทำท่าทางผิดธรรมชาติ อากัปกิริยาเหมือนสัตว์บ้าง เหมือนคนเสียจริตบ้าง มันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเชื่อไหม

http://board.roigoo.com/members/ohmohm-albums-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B9%8D%E0%B8%B2+13-7-13-picture5161-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B9%8D%E0%B8%B2.jpg (http://board.roigoo.com/members/ohmohm-albums-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B9%8D%E0%B8%B2+13-7-13-picture5161-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B9%8D%E0%B8%B2.html)


เผยเคล็ดลับ วิธีทำและวิธีแก้คุณไสย...มนต์ดำแห่งความตาย
คุณไสยเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่ว่าด้วยความตายและความโชคร้ายของฝ่ายตรงข้าม

ไม่มีใครรู้ว่า คุณไสยนั้นมีจริงหรือไม่

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองดีเช่นกัน

กล่าวกันว่า เรื่องราวของคุณไสยนั้นมีมานานแล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล และมีอยู่ทั่วโลกไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณไสยต่าง ๆ ก็มีที่มาคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะของในเอเชีย และแอฟริกา

สำหรับคุณไสยของคนแอฟริกันนั้น เป็นพิธีการของลัทธิ " วูดู " ที่พวกหมอผีนิยมมาใช้เพื่อบังคับคนในเผ่าให้อยู่ในโอวาทหรือใช้วิชาไสยดำอันนี้ไปพิฆาตศัตรูที่อยู่ต่างเผ่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้วิธีปั้นรูปขึ้นมา แล้วเอาเศษเสื้อผ้า ผม เล็บ หรือแม้แต่เลือด อย่างใดอย่างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามใส่เข้าไปในหุ่น แล้วทำพิธีบวงสรวง ก่อนที่จะทำร้ายหุ่นด้วยการแทงลงไปบนส่วนต่าง ๆของร่างกาย หรือแม้แต่นำไปย่างไฟ ก็จะทำให้คนที่โดนคุณไสยได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนาแสนสาหัส

สำหรับคุณไสยในเอเชีย นั้น แพร่หลายในแถบลุมอินโดจีน ที่มีชื่อเสียงและหวาดกลัวกันมาก ก็คือ " คุณไสยของเขมร " และ " คุณไสยของมาเลเซีย " หรือคุณไสยมลายูที่เราเรียกันว่า " หมอแขก " นั่นเองมีผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยกล่าวว่า คุณไสยของเขมรนั้นที่โด่งดังที่สุด ก็คือ เสกเนื้อหรือหนังควายเข้าไปอยู่ในท้อง ทำให้คนที่โดนคุณไสยรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ในขณะที่คุณไสยมาเลเซีย จะครบเครื่องทั้งเรื่องหนังและกระดูก ไปจนถึงการบังคับวิญญาณผีที่ดุร้ายให้เข้าไปสิงอยู่ในร่างคน

อับดุล กาเซร์ ราฮิม หมอผีชาวปะลิส มาเลเซีย เคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือฉบับหนึ่งว่า การทำคุณไสยในมาเลเซียนั้น ถ้าหากไม่โกรธแค้นกันอย่างจริงจังแล้ว มักจะไม่ทำกัน เพราะว่าเมื่อเสกของเข้าไปแล้วจะแก้ยาก อีกทั้งคนที่โดนคุณไสยส่วนใหญ่มักจะไม่รอด

ในขณะเดียวกัน อาจารย์ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังชาวไทยอีกคนหนึ่งซึ่งศึกษเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยมลายูมาอย่างช่ำชอง จนได้ชื่อว่าเป็นหมอแขกเพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากที่สุด ได้กล่าวถึงเรื่องราวของการทำคุณไสยเอาไว้ว่าคนที่โดนวิญญาณจากการทำคุณไสยของหมอผีชาวมาเลเซีย ถ้าหากโดนผีเข้าสิงก็จะมีนิสัยดุร้าย ชอบทำร้ายคนอื่นเหมือนกับคลุ้มคลั่ง บางทีก็ชอบกินเนื้อหรืออาหารสด ๆ คาว ๆ โดยเฉพาะเลือด
เนื่องจากว่าถ้าหากไม่กินของเหล่านี้เข้าไป วิญญาณที่สิงอยู่ในกายก็จะกินตับไตของตัวเองแทน จนโทรมและเน่าตายไปในที่สุด

ส่วนคุณไสยในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นหลายเพราะได้รับอิทธิมาจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากหมอผีไทยไม่ใคร่นิยมทำของกันมากนักนอกจากเล่นวิชาผีบังคับวิญญาณอย่างเดียว

วิชาคุณไสยที่แพร่หลายอยู่ในหมอผีชาวไทยและได้รับความเชื่อเรียกใช้มากที่สุด จะเป็นคุณไสยสายที่ได้รับอิทธพล มาจากเขมร เนื่องจากคุณไสยสายนี้มีทั้งดีและทั้งร้าย ไม่เหมือนคุณไสยของมาเลเซีย กับ อินโดนีเซียที่ส่วนมากจะเล่นกันถึงตาย และมีไว้สำหรับฆ่าคนเท่านั้นแต่คุณไสยของเขมรซึ่งแพร่หลายเข้ามาทางกลุ่มของชาวส่วย ที่มีอาชีพเลี้ยงช้างในจังหวัดสุรินทร์นั้น แบ่งแยกออกอีกหลายวิชา ไม่ว่าจะทำให้คนบ้า หรือว่าฝังรูป ฝังรอย ทำให้คนรักคนหลง หรือแม้แต่ทำให้ผัวเมียแตกแยกเลิกร้างกัน ดังนั้นจึงทำให้คุณไสยสายนี้ได้รับความนิยมและมีคนเรียกใช้แพร่หลายมากที่สุดในประเทศไทย

กล่าวกันว่า บรรดาผู้ที่ร่ำเรียนวิชาคุณไสยนั้น จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษไม่เหมือนกับผู้อื่น กล่าวคือ สมาธิจะต้องแน่วแน่ มีพลังจิตสูง

" พวกที่เล่นไสยศาตร์จะต้องนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง ตอนเช้ากับหลังจากตื่นนอน หรือเมื่อพิธีใหญ่ ๆ ก็อาจจะต้องเพิ่มรอบมิดเดย์ มิดไนท์ และต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด "อนัตตา นักเขียนผู้ร่ำเรียวิชาทางด้านวิทยาศาตร์ แต่หันมาสนใจเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ลงทุนหาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันกล่าวเอาไว้ในนิตยสารฉบับหนึ่ง โดยแยกแยะเอาไว้อีกว่า ไสยศาตร์นั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ " ไสยดำ " กับ " ไสยขาว "

คนที่เรียน " ไสยดำ " มานั้นส่วนใหญ่จะเอาวิชาที่ร่ำเรียนมาใช้พิฆาตฝ่ายตรงข้ามและทำตนเป็นคนนอกศาสนา ไม่นับถือสิ่งใดนอกจากครูผู้ประสิทธิ์วิชาให้ คนพวกนี้มีทั้งวิชาที่จะเล่นงานเขาและแก้คุณไสยด้วยตัวเอง

ในขณะเดียวกัน คนที่เล่นคุณไสยประเภท " ไสยขาว " ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้กำลังสำหรับแก้ไสยดำนั้น จะเป็นผู้ที่ถือศีลอย่างเคร่งครัดและไม่นิยมเสกของไปเล่นงานใคร นอกจากส่งของนั้นกลับไปให้เจ้าของเดิมผู้ที่ส่งมา ด้วยเกรงว่าถ้าหากใช้อวิชชา ไปเล่นงานเขาแล้ว วิชาของตัวเองจะเสื่อมความแตกต่างของผู้ที่เล่นวิชาไสยศาสตร์ 2 แขนงนี้ ก็คือ คนที่เล่นไสยดำจะหน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีราศี ผิดกับผู้ที่เล่นวิชา ไสยขาว สำหรับแก้คุณ ซึ่งหน้าตาอิ่มเอิบ ผ่องใส เพราะไม่มีจิตใจไปหมกมุ่นในอวิชชา อีกทั้งต้องทำบุญทำทาน อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณร้ายที่ไล่ออกไปจากคนที่ถูกไสยดำเล่นงานอยู่เสมอ

คนที่มีวิชาไสยดำ และ มีวิชาอาคมแก่กล้า กล่าวกันว่าจะมีสีหน้าที่ดำเป็นแถบ ๆ พูดจาเลอะเลือน ไม่ค่อยรู้เรื่อง จนถึงขั้นคล้ายกับวิกลจริตในที่สุด

" คนพวกนี้จะต้องปล่อยของทุกวันพระใครที่ไม่ปล่อยออกจากตัว เก็บสะสมเอาไว้นอกจากเอาไปชิงโชคที่ไหนไม่ได้แล้วอาจจะทำให้เป็นผีปอบได้ " ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังสายมลายูบอกดังนั้น พวกไสยดำทั้งหลาย จึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยของไปตามลมเพลมพัด เพื่อขจัดสิ่งที่เกินอำนาจการควบคุมของตนเอง ออกไป เพราะฉะนั้นใครที่เดินอยู่ดี ๆ และ ถึงทีคราวซวยไปรับเอาของที่หมอผีปล่อยมา ก็ต้องมาหาวิธีแก้กันต่อไป

ว่ากันว่าของที่ปล่อยออกไปนั้น อยู่นอกเหนืออำนาจของหมอผีที่จะควบคุมได้ เนื่องจากคุณไสยเหล่านี้มีพลังที่กล้าแกร่งมาก ถึงขนาดถ้าปะทะกิ่งไม้ ก็จะหักเป็นทาง หล่นบนหลังคาบ้านใครก็จะได้ยินเสียงโครมคราม

ดังนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมัยโบราณถึงได้ห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าร้องทัก ถ้าหากได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ เพราะจะทำให้ของที่ปล่อยมาเข้าตัวได้ง่าย

ข้อสำคัญคืออย่าตกใจ ทำจิตให้สงบ เพราะคนที่โดนคุณไสยเล่นงานนั้น ส่วนมากจะเป็นคนที่ดวงตก หรือไม่ก็ถึงคราวที่กรรมเก่าตามสนองเท่านั้นซึ่งสำหรับข้อนี้ มีวิธีแก้เคล็ดที่นิยมทำกันมากในสมัยสุโขทัย คือ

" ให้ปั้นรูปปั้นของผู้เคราะห์ร้ายหรือใครที่ดวงตก เป็นตุ๊กตา ตัวเล็ก ๆ แล้วนำไปทุบหัวทิ้งตามทางสามแพร่งในเวลาโพล้เพล้ เพื่อให้ต๊กตารับเคราะห์แทน หรือแม้แต่เวลาผู้หญิงคนไหนจะคลอดลูก ในสมัยนั้นก็จะปั้นตุ๊กตารูปผู้หญิงอุ้มลูกไปทุบหัวทิ้งเช่นกัน "คุณไสยในเมืองไทยเท่าที่ทราบมานั้นสามารถแบ่งออกไป 2 ชนิด คือ การทำเสน่ห์ และ การทำร้ายชีวิตของผู้อื่น

อย่างแรกหมายถึงทำให้ใครก็ได้หลงรักจนหัวปักหัวปำ ซึ่งในประเภทนี้จะไม่ค่อยเป็นอันตรายเท่าใดนัก เนื่องจากผู้ที่ต้องการทำของทำลงไปด้วยความรัก ไม่ได้ต้องการให้ถึงแก่ชีวิตผิดกับอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจะต้องตายหรือไม่ก็พินาศกันไปข้างหนึ่ง

สำหรับการทำเสน่ห์ให้หลงรักนี้ แบ่งออกได้ 2 วิธี

คือ 1. การฝังรูปฝังรอย 2. การทำเสน่ห์ยาแฝด

การฝังรูปฝังรอย นั้นเป็นกรรมวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณโดยการปั้นหุ่นขึ้นมา 2 ตัว เป็นผู้หญิง กับ ผู้ชาย โดยใช้ดินจากเจ็ดป่า มาผสมกัน การฝังรูปฝังรอยที่จะทำให้ผู้หญิงกับผู้ชายรักกันนั้น เขาจะปั้นรูปเรียบร้อยตามวิธีการแล้วจะเอาหุ่น 2 ตัวหันหน้าชนกัน.............................................................................( ขออนุญาติ ไม่ลงรายละเอียด เพราะเปรียบเหมือนดาบ 2 คม )

ในทางกลับกัน ถ้าหากอยากให้ผัวเมียคู่นั้นเลิกร้างกันไป นำหุ่นนั้นมาประกบ โดยหันหลังให้กัน

ซึ่งในการปั้นหุ่นเสกคุณไสยนี้ สามารถที่จะทำให้คนที่โดนของคลุ้มคลั่งถึงกับเป็นบ้าได้การทำเสน่ห์เล่ห์กลอีกอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้ผู้หญิงกับผู้ชายรักกัน ก็คือ การทำเสน่ห์ยาแฝด ด้วยการใช้น้ำมันพรายไปป้ายตามเนื้อตัวของฝ่ายตรงข้าม แต่ในปัจจุบัน นี้การใช้น้ำมันพรายไม่ใคร่นิยมกันมากนัก เนื่องจากเป็นวิธีง่าย ๆ และแก้ได้ไม่ยากนัก เพราะติดอยู่ที่ผิวหนังเมื่อรดน้ำมนต์หลาย ๆครั้ง ก็จะสามารถแก้ได้ในที่สุด

ที่สำคัญเดี๋ยวนี้หมอผีไม่สามารถที่จะหาน้ำมันพรายมาปลุกเสกได้ง่าย ๆ อย่างแต่ก่อน เพราะปัจจุบันนี้ชาวบ้านนิยมเผาศพเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้นำศพ ไปฝังในป่าช้าอย่างที่แล้วมา ทำให้ไม่สามารถ ลนน้ำมันพรายได้ นอกจากน้ำเหลืองศพแต่ถึงอย่างไรก็ตาม กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งของการใช้เสน่ห์ ยาแฝด ก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมหายไปไหน นั่นก็คือการใช้ผงกระดูกผีมาเรียกวิญญาณเข้าสิง หรือใช้.....กับ.......มาผสมและปลุกเสกเข้าด้วยกัน แล้วนำของเหล่านั้นไปให้ฝ่ายตรงข้ามรับประทาน

ซึ่งว่ากันว่า กรรมวิธีนี้เป็นการควบคุมวิญญาณ ที่โหดเหี้ยมที่สุดซึ่งส่วนใหญ่เมื่อคุณไสยถูกแก้กลับไป ผู้ที่โดนของประเภทนี้มักมีอาการเศร้าซึมและสติเลอะเลือนไปชั่วชีวิต เนื่องจากจิตที่ปกตินั้นถูกควบคุมนานเกินไป

ที่มา http://www.amulet.in.th/images/logo01.jpg