เว็บการ์ตูนหรอยกู

เว็บการ์ตูนหรอยกู (http://board.roigoo.com/index.php)
-   ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (http://board.roigoo.com/forumdisplay.php?f=64)
-   -   เรื่องฮาๆเกี่ยวกับปราชาคมอาเซียน ที่น้องๆไม่ค่อยรู้กัน (http://board.roigoo.com/showthread.php?t=5510)

NuRay 08-02-2013 22:34

เรื่องฮาๆเกี่ยวกับปราชาคมอาเซียน AEC ที่น้องๆไม่ค่อยรู้กัน
 
ประชาคมอาเซียนกำลังจะเปิด ลองกลับมาดูเรื่องฮาๆที่เกิดขึ้นกับอาเซียนกันบ้าง มันเกี่ยวข้องกับเรื่อสังคมในอาเซียนของเรา ความสนุกสนานเฮฮามักเกิดขึ้นกับอาเซียนของเราอยู่แล้ว อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันจะฮาไปไหน ต้อนรับ AEC ด้วยความฮาก็ดีเหมือนกันจะได้คลายเครียดกันเสียบ้าง ไม่รู้ว่าจะรวมกันได้ไหม เห็นทีวีบ้านเราเขาคึกกันจังเลย อิอิ


'AEC' ประเด็นฮ็อตที่หลายเวทีมักหยิบมาถกกันอย่างเผ็ดร้อน แต่หลังฉากอันแสนเครียด เรายังสามารถเรียนรู้อาเซียนผ่าน "เรื่องขำๆ" ได้เช่นเดียวกัน

อาจไม่ใช่แค่ชาวอาเซียนเท่า นั้น ที่ดูจะชื่นชอบเรื่องโจ๊ก นินทา หรือข่าวลือ เพราะอาการ 'คันปาก' สามารถเกิดขึ้นได้กับชนทุกเผ่า ทุกชาติ แทบจะทุกหนแห่งบนโลกนี้

อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ความรักสนุก เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน หยิกแกมหยอกแบบแสบๆ คันๆ คือ อัตลักษณ์พิเศษที่สงวนสิทธิ์สำหรับชาวอาเซียนเท่านั้นจริงๆ

เห็นได้จากไม่ว่าจะเรื่องเมาท์ ข่าวลือ สารพัด ที่เกิดขึ้นไม่ต้องไหนไกล เอาแค่ประเทศไทยก็มีให้บริหารปากแทบทุกวันอยู่แล้ว แต่ในมุมมองหนึ่งจากเวทีเสวนาหัวข้อ "อาเซียน : โจ๊ก-นินทา-ข่าวลือ" ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี "อาเซียนศึกษา" จัดโดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นักวิชาการทุกท่านเห็นตรงกันว่า เบื้องหลังความขำฮานั้น ยังมีอะไรให้น่าคิดต่ออีกไม่น้อยเลยทีเดียว!

[LIST][*]ลือ(ไม่)ไร้ตอ[/LIST] "ข่าวลือ คือ อาวุธของคนไร้อำนาจ" ...บางช่วงบางตอนจากข้อเขียนของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เกี่ยวกับ ?ข่าวลือ? ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 ธ.ค. 2554 โดยขยายความต่อว่า
?...ข่าวลือไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยไร้สาเหตุ ไม่ใช่ลือส่งเดชนะครับ ข่าวลือต้องมีฐานจากเรื่องจริง - สภาพจริง, คนจริง, ความเป็นไปได้จริง ฯลฯ - อยู่ทั้งนั้น"

โดยบอกว่า "ข่าวลือ" ถือเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการเป็นเครื่องมือของคนที่ไร้อำนาจ ยกตัวอย่างเช่น

"กรณีอ่าวตังเกี๋ย ที่ว่าเรือรบอเมริกันถูกเวียดนามเหนือโจมตีในทะเลหลวง ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ก็ลือกันจนทำให้ประธานาธิบดีได้อำนาจจากสภาในการตอบโต้ได้ไม่มีขีดจำกัด จนประธานาธิบดีพาอเมริกันไปจมปลักในเวียดนามอีกหนึ่งทศวรรษ

... และเมื่อเร็วๆ นี้เอง ข่าวลือเรื่องอิรักมีอาวุธมหาประลัยในครอบครอง ซึ่งก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ แต่เปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีได้อำนาจจากสภาทำสงครามกับอิรัก จนกระทั่งอิรักยังเละไม่เลิกถึงทุกวันนี้?

ไม่ต่างกันกับความเห็นของ สมฤทธิ์ ลือชัย ผู้ดำเนิน รายการบนเวทีดังกล่าว มองว่า ข่าวเมาท์ ข่าวลือ เกี่ยวกับคนใหญ่คนโต โดยเฉพาะการลือเกี่ยวกับเรื่องในบ้าน ในมุ้ง ดูเหมือนจะเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของอุษาคเนย์ไปเสียแล้ว

อย่างเช่นที่ เคยมีการลือกันหนาหูอยู่ช่วงหนึ่งที่เวียดนามว่า อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม "หน่ง ดึ๊ก หม่าน" (Nong Duc Manh) คือ ลูกลับๆ ของโฮจิมินห์

"ตอนนั้นลือกันใหญ่โตทีเดียว เพราะแม่ของท่านเลขาธิการพรรคฯ คนนี้ มีแม่เป็นไทดำ ซึ่งไปพ้องกับช่วงที่ท่านโฮจิมินห์เคยไปอาศัยอยู่กับไทดำ เมื่อครั้งทำการกอบกู้อิสรภาพ ก็เลยลือกันว่า เขานี่แหละคือทายาทลับๆ ของท่านโฮจิมินห์"

นอกจากการลืออย่างสนุกปาก ในหลายๆ ครั้ง การทำงานของข่าวลือยังส่งผลอย่างมีนัย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่ฮิตเลอร์พยายามจะยึดครองโลก เขาก็เลือกใช้คำทำนายของนอสตราดามุส ที่เคยเขียนทำนายไว้ว่า ตัวเขาจะชนะสงครามและได้ครองโลก มาเป็นเครื่องมือในสงครามจิตวิทยา โดยนำมาพิมพ์เป็นใบปลิว ขึ้นเครื่องบินไปโปรยแจกให้ประชาชนล้มเลิกความตั้งใจที่จะต่อสู้

"ข่าวลือ นอกจากจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสร้างความเพลิดเพลินให้กับทั้งคนเล่า และคนฟัง แต่ข่าวลือยังมีมากกว่านั้น คือ มันถูกใช้เป็นเครื่องมือได้ เป็นอาวุธทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ ในการทำสงครามจิตวิทยามวลชน การใช้ข่าวลือมักจะได้ผล อย่างสมัยสงครามเวียดนาม มีการปล่อยข่าวลือว่า ถ้ากินอาหารญวนแล้วจะอวัยวะเพศจะหด ลือกันสะพัดถึงขนาดขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งเลยนะ"

แต่ในอีกหลายครั้ง การกระพือข่าวลือบนพื้นฐานความหวังดีก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน โดย ผศ.ดร.คารินา โชติรวี อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในฐานะสะใภ้ฟิลิปีโน เล่าถึงลักษณะสัมคมฟิลิปปินส์ซึ่งมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า 'Delicadeza' หรือ การรักษาหน้า ซึ่งชาวฟิลิปปินส์จะไม่นิยมว่าหรือตำหนิใครตรงๆ เพราะกลัวว่าเขาจะเสียหน้า จึงใช้วิธีพูดกันลับหลัง เพื่อให้สักพักเรื่องก็จะวนกลับมาหาเจ้าตัวอยู่ดี


[LIST][*]ตอกไข่ใส่โจ๊ก[/LIST] พร้อมๆ กันกับนิสัยช่างเมาท์ อันเป็นอัตลักษณ์พิเศษของชาวอุษาคเนย์อย่างที่ สมฤทธิ์ ลือชัย ว่าไว้ สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนชาวอาเซียนจะนิยมเสียเหลือเกิน นั่นก็คือ การเอาเรื่องของคนใหญ่คนโตมาทำให้เป็นเรื่องโจ๊ก

"ที่น่าสนใจคือ 'โจ๊ก' มักแสดงถึงความแตกต่างทางสถานะ ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถไปแตะหรือล้อเล่นกับคนที่มีระดับสูงกว่าได้ ในทางหนึ่งเรื่องโจ๊กก็มีเป้าหมายคือเพื่อทำลาย หรือทำร้ายคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า ที่เราเอื้อมไม่ถึง จะเรียกว่าเป็นการแก้แค้นทางจิตวิทยาสังคมอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะเราทำอะไรเขาไม่ได้ แต่การเล่ามันทำได้ไง ทำให้เขาดูเป็นตัวตลกได้" สมฤทธิ์อธิบาย

และยังมีอีกสารพัดเรื่องโจ๊กที่ รศ.ดร.ไชยันต์ รัชชกูล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นำมาเล่าสู่กันฟัง จนคนฟังได้ขำกันจนเหนื่อย ไม่ต้องไปถึงไหนไกล เอาแค่อาเซียนของเรา ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแล้ว...


[LIST][*]แสตมป์ซูฮาร์โต[/LIST] ย้อนกลับไปที่อินโดนีเซีย ในสมัยภายใต้การปกครองของนายพลซูฮาร์โต...
หลังจากปกครองอินโดนีเซียมาได้เกือบ 30 ปี ท่านนายพลฯ ก็นึกขึ้นได้ว่า อินโดนีเซียยังไม่เคยพิมพ์แสตมป์ที่มีรูปหน้าของตนอยู่เลย เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงรีบยกหูโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่เพื่อสั่งให้ไปจัดพิมพ์ด่วน

เจ้าหน้าที่รับคำสั่งทันควัน บอกว่า ไม่มีปัญหา จะรีบไปทำให้เสร็จโดยไว...
แต่รอแล้ว รอเล่า ท่านนายพลฯ ก็ยังไม่ได้เห็นจดหมายที่มีแสตมป์รูปของท่านเลย จึงอดรนทนไม่ไหว เรียกเจ้าหน้าที่คนเดิมมาพบ เพื่อซักถาม

เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันบอกว่า ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับนำแสตมป์สีสันสวยสดมาอวด
เมื่อได้เห็น ท่านนายพลฯ ก็เอ่ยชม บอกว่าแสตมป์พิมพ์ออกมาได้สวยถูกใจมาก แต่ก็ไม่วายสงสัยว่า แล้วทำไมถึงไม่ได้เห็นแปะอยู่บนจดหมายเลย???

เจ้าหน้าที่ : คือแสตมป์ของท่านมันติดไม่ติดน่ะครับ
ซูฮาร์โต : ติดไม่ติดได้ยังไง.. ไหนมาดูซิ!!
ว่าแล้วท่านนายพล ก็หยิบเอาแสตมป์มาถุยน้ำลายลงไป และติดลงบนกระดาษ
ซูฮาร์โต : นี่ไง! ก็ติดได้นี่นา
เจ้าหน้าที่ : เอ่อ คือว่า... ประชาชนเขาไม่ได้ถุยน้ำลายด้านนี้กันน่ะครับ !@##$%$%^&*


[LIST][*]คำตอบของพระเจ้า[/LIST] เมื่อ10 ประเทศในอาเซียนมีความคิดที่จะรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน ผู้นำอาเซียนก็มีความกังวลอย่างมากว่าจะนำพานาวาอาเซียนไปด้วยวิธีใด จึงตัดสินใจชักชวนกันไปเข้าเฝ้าพระเจ้า
ตัวแทนที่ดูแลงานด้านพาณิชย์เริ่มต้นยิงคำถามกับพระเจ้าก่อนเพื่อน... การทำให้การค้าขายในอาเซียนเป็นตลาดเดียว และยกเลิกกำแพงภาษีอย่างเต็มรูปแบบในอาเซียน จะสำเร็จเมื่อไหร่?
พระเจ้า : อีก 50 ปี

เจ้าของคำถามได้ยินดังนั้น ก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าตัวเองคงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนได้เห็นความสำเร็จนั้น

ผู้นำอาเซียนรีบ ชิงถามบ้าง ด้วยความอยากรู้ว่า แล้วถ้าไม่ใช่แค่เขตการค้าเสรีล่ะ... เมื่อไหร่ที่ทั้ง 10 ประเทศจะรวมตัวกันทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์แบบ?
พระเจ้า : อีก 100 ปี

พอได้ยินคำตอบจากพระเจ้า ท่านผู้นำยิ่งร้องไห้หนักกว่า พร้อมบอกว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นภาพนั้นอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่วายอยากรู้อีกว่า แล้วเมื่อไหร่กันล่ะที่คนในอาเซียนจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความสมานฉันท์ รักสามัคคีกัน?

หลังจากนิ่งคิดไปอึดใจใหญ่ พระเจ้าก็ร้องห่มร้องไห้หนักกว่าใครเพื่อน และเอ่ยว่า.... ข้าเสียใจเหลือเกิน เพราะข้าเองก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงเหมือนกัน!!!!


[LIST][*]ตำรวจอาเซียน[/LIST] แน่นอนว่า เมื่ออาเซียนรวม กันเป็นหนึ่ง ทำให้ในเรื่องการทำงานเปิดกว้างมากขึ้น คนชาติไหนจะทำงานที่ประเทศใดก็ได้ อย่างอาชีพตำรวจก็เช่นกัน ในวันข้างหน้า ไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็สามารถสมัครเป็นตำรวจอาเซียนได้

และระหว่างการสอบสัมภาษณ์ตัวต่อตัว เจ้าหน้าที่จะให้ดูภาพผู้ต้องสงสัย เป็นชายเห็นแต่ด้านข้าง และถามผู้สมัครว่า เห็นอะไรจากภาพนี้บ้าง

เมื่อชาวลาวได้เห็น ก็ตอบอย่างฉาดฉานว่า... "ชายคนนี้ มีหูข้างเดียว!"
เจ้าหน้าที่ส่ายหัว ว่าแล้วก็เรียกผู้สมัครรายที่สองเข้ามา เป็นชาวกัมพูชา หลังจากดูภาพใบเดียวกันนั้นเสร็จ คำตอบก็ออกมาไม่ต่างจากชาวลาว... "ชายคนนี้ มีหูข้างเดียว!!!!"
ฟังดังนั้น เจ้าหน้าที่ถึงกับกุมขมับ ก่อนจะเรียกผู้สมัครรายที่สาม ซึ่งเป็นชาวไทยเข้ามา
ทันทีที่เห็นภาพดังกล่าว ชาวไทยรีบบอกว่า.. "ผมมั่นใจอย่างที่สุด ว่า ชายคนนี้ต้องใส่คอนแทคเลนส์"

เมื่อได้ยินคำตอบจากชายชาวไทย เจ้าหน้าที่ถึงกับร้องลั่นอย่างดีใจ ว่า "ใช่เลย!!! ผู้ชายคนนี้ใส่คอนแทคเลนส์จริงๆ อย่างที่คุณบอก" ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า แล้วรู้ได้อย่างไร?
...เรื่องนี้ไม่ยากเลยครับ คนที่มีหูข้างเดียว ใส่แว่นตาไม่ได้อย่างแน่นอน &*#$%@!


[LIST][*]ภาษาฮาเฮ[/LIST] ในสมัยที่ 'มาลายา' เป็นอาณานิคมของอังกฤษ นายพลอังกฤษนายหนึ่ง กำลังจะปลดประจำการ ได้กลับประเทศ ก็มีการเลี้ยงส่งท่านนายพลคนดังกล่าว

ระหว่างที่กำลังกล่าวอำลา ท่านนายพลเกิดอารมณ์ดี เล่าเรื่องโจ๊กให้นายทหารฟัง พอเล่าจบ แทนที่จะมีเสียงฮาตรึม กลับกลายเป็นเงียบสนิท ท่านนายพลก็เลยนึกขึ้นได้ว่า อ๋อ... ที่แท้ทหารพวกนี้ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก เลยสั่งให้ผู้ช่วยแปลที

แทนที่ผู้ช่วยจะแปลเรื่องตลกยาวอย่างที่นายพลเล่า กลับแปลสั้นนิดเดียว แต่ทหารหัวเราะกันลั่นทั้งกองพัน ท่านนายพลเลยสงสัยว่า แปลว่าอะไร ทำไมถึงหัวเราะกันขนาดนี้
"กระผมก็แค่บอกพวกทหารว่า...ท่านนายพลเล่าเรื่องตลก จงขำ!!!!!"


[LIST][*]ความยุ่งยากของ Tense[/LIST] อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่ออาเซียนจะ รวมกันเป็นหนึ่ง ก็ย่อมต้องมีภาษากลางสำหรับใช้ในการสื่อสาร และภาษาที่ว่านั้น ก็คือ "ภาษาอังกฤษ" แต่ความยุ่งยากอย่างหนึ่งของการใช้ภาษาอังกฤษ อยู่ตรง Tense ที่มีสารพัด "กาล"

ในห้องเรียนภาษาอังกฤษ คุณครูก็พยายามคิดรูปประโยคขึ้นมาเพื่อสอนนักเรียนเกี่ยวกับ Tense ต่างๆ และนี่ก็เป็นหนึ่งในประโยคตัวอย่าง...

"ASEAN will be well integrated to be a single home" คุณครูเขียนบนกระดาน และถามนักเรียนว่า นี่คือ Tense อะไร

นักเรียนยกมือตอบพร้อมกันอย่างแข็งขันว่า
...Future Impossible Tense ครับ / ค่ะ
จะเห็นว่า นิสัยขี้เล่น ไม่ชอบจริงจัง แทบจะเป็นนิสัยประจำชาติของหลายๆ ประเทศในอาเซียน อย่างในฟิลิปปินส์ก็เช่นกัน โดย ผศ.ดร.คารินา เล่าถึงอุปนิสัยของชาวฟิลิปปินส์ว่า ถึงแม้จะเป็นประเทศที่เผชิญวิกฤติต่างๆ อยู่ตลอด แต่ชาวฟิลิปปีโนกลับเป็นที่ขึ้นชื่อถึงความอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
ขนาดเรื่องโจ๊กของชาวฟิลิปปินส์ยังไม่วายที่จะกัดตัวเอง...

"ชาวอเมริกันโม้ว่า ถ้าเกิดอาชญากรรม ตำรวจที่อเมริกาจะมาถึงพื้นที่ภายในเวลา 10 นาที แต่เยอรมันบอกว่าของฉันมาถึงเร็วกว่า 5 นาทีก็มาถึงแล้ว.... คนฟิลิปปินส์ได้ยินก็เลยบอกว่า แค่นี้ ธรรมดามาก เพราะที่บ้านฉัน แค่นาทีเดียวก็อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะตำรวจเป็นคนก่ออาชญากรรมเสียเองไง (ฮา) "


"คนฟิลิปปินส์มักจะตลกกับตัวเอง ในสังคมอื่นอาจจะชอบเอาคนอื่นมาตลก อย่างอเมริกันมักจะเอาคนโปลิช, ไอริช มาเป็นมุกตลก หรือเอาผู้หญิงผมบลอนด์มาแทนการกระทำที่ไม่ค่อยฉลาดนัก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เคยถามเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ว่า คนในชาติคุณไม่ถูกกับชาติไหนบ้างไหม เพราะอย่างบางประเทศก็จะไม่ถูกกับเพื่อนบ้าน ไม่ชอบเพื่อนบ้านประเทศโน้น ประเทศนี้"
และคำตอบที่ รศ.คารินา ได้รับกลับมานั่นคือ

"อ๋อ เราไม่เคยโกรธเกลียดใครหรอก เรารักทุกชาติ แต่เราชอบเกลียดกันเอง!"
...ฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจกันบ้างไหม

ขอบคุณ
อ้างอิง:

กรุงเทพธุรกิจ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:44

vBulletin รุ่น 3.8.7
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด


1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102