เว็บการ์ตูนหรอยกู

กลับไป   เว็บการ์ตูนหรอยกู > RoiGOo City > หรอยกูคาเฟ่

ตอบ
อ่าน: 1892 - คำตอบ: 9  
LinkBack คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
เก่า 07-06-2012   #1
Senior Member
 
JigSaW's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 340
บล็อก: 18
ถ่ายทอดพลัง: 317
คะแนนหรอย: 255
Default น้องคนไหนอ่านก่อน คิดได้ก่อน มีความสุขกับชีวิตก่อนค่ะ

เรื่องนี้อยากจะโพสมานานแล้วค่ะ มันเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตแนวคิดต่างๆที่จะก้าวต่อไปนั้นแหละค่ะ
ตอนนี้เราทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วนะค่ะ ตั้งใจเรียนจบมาทำงานบริษัทหรือราชการอาจจะไม่ใช่วิธี
ที่ถูกต้องอีกแล้วค่ะ เพราะงานสมัยนี้บอกตามตรงว่าหายากมาก แต่งานส่วนตัวนั้นมีโอกาสทำได้ตลอด
แต่จะมีสักกี่คนที่กล้าลุยไปกับมัน ถ้าเรามีสิ่งที่รักก็ลุยกับเลยค่ะลองอ่านดูนะค่ะ

ปัญหาหลักของ มนุษย์เงินเดือน ข้อแรก 1 ลืมวางเป้าหมายชีวิต
ก๊อบเค้ามาค่ะ อาจจะมีคำว่าครับๆบ้าง


ถ้ามองย้อนไปหลายปีก่อนในเดือนมีนาคมนี้ มันจะเป็นเดือนที่สำคัญสำหรับนิสิต-นักศึกษาหลายๆคนที่จะออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาเผชิญชีวิตจริงๆในการทำงาน มีน้องๆหลายคนมาปรึกษาผมเรื่องการหางานทำ คำถามยอดฮิตก็คงไม่พ้นคำถามเหล่านี้
1.จะทำงานอะไรดี?
2.งานที่ไหนดี??
3.เวลาเลือกงานเราต้องเลือกยังไง?
4.ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่างานแบบไหนเหมาะกับเรา


คำถามเหล่านี้มักจะมาจากการที่คนๆนั้น มีทัศนคติการใช้ชีวิตประเภทมองสั้นๆหรือไม่มีการวางเป้าหมายระยะยาว ถ้าเราถามคำถามลงลึกๆเช่น
1.เราได้เป้าหมายชีวิตไว้อย่างไร
2.มีสิ่งใดที่สำคัญมากๆในชีวิตที่จะต้องทำให้ได้หรือไม่
3.มีความฝันบ้างไหม(ไม่ใช่ฝันเฟื้อง)
4.ออกแบบชีวิตไว้อย่างไร


พวกเขามักจะไม่ได้คิดหรือตอบไม่ได้เสมอๆ
ซึ่งก็ไม่แปลกครับ
เพราะสังคมบ้านเราไม่ค่อยได้สอนกันให้วางเป้าหมายระยะยาว
ไม่ค่อยได้สอนให้มีฝันที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีสอนทั้งในหนังสือเรียนและมหาวิทยาลัย
เพราะในรั้วโรงเรียนสอนกันแค่ เรียนให้ดี สอบเทอมหน้าให้ได้เกิดดีๆแล้วจะดีเอง
ส่วนที่บ้านก็สอนคล้ายๆกัน ให้ตั้งใจเรียน หางานดีๆ จะได้สบายตอนแก่
ต้องรอตอนแก่ถึงจะสบาย (หรือวะ ?)
มีเรื่องเล่าครับ
ชายหนุ่มเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทย โบก Taxi ริมถนน
Taxi จอดให้เขาขึ้นรถ พอหนุ่มนั่งลงเบาะหลัง เขาก็นั่งเฉยๆ
?จะไปที่ไหนครับ ? คนขับรถถาม
??.ไม่รู้สิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี ?? ชายหนุ่มตอบ
?แล้วจะให้ผมทำยังไง ตกลงคุณต้องการเดินทางไปไหนสักที่ใช่ไหม ?? คนขับสงสัย
?ใช่ ผมต้องเดินทาง แต่ผมไม่รู้จะไปไหน? ชายหนุ่มเกาหัว ?งั้นเอาเป็นว่าพี่ขับไปเรื่อยๆก็แล้วกัน?

คนขับกดปุ่มมิตเตอร์ แล้วขับรถออกไปแบบงงๆ มิตเตอร์ก็ค่อยๆขยับค่าโดยสารที่ละ 2-3 บาทไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าตาแบบเหม่อลอย มองดูตลาด มองดูคนหาบของ มองดูรถที่ติดยาวเหยียด ??.

เป้าหมาย คือจุดหมายปลายทาง เปรียบได้กับปลายทางที่เราจะเดินทางไป
มิตเตอร์ หรือค่าโดยสาร เหมือนเวลาและค่าใช้จ่ายที่เราต้องสูญเสียตลอดระยะเวลาในการดำเนินชีวิต
ในชีวิตจริง แม้เราจะนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตเราหยุดนิ่ง
เรายังคงค่อยๆเดินหน้าไปสู่เวลาสุดท้ายของชีวิต ทีละวินาที ทีละนาที ทีละวัน
คนเรามีอายุเฉลี่ยบนโลกใบนี้ 25,000 วัน

ถ้าคุณอายุ 25 ปี คุณได้เดินทางมาแล้ว 9,125 วัน หรือประมาน 2 ใน 5 ของชีวิต
เดินทางกันมา 9,125 วัน?ไม่ทราบว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายและความฝันในชีวิตหรือยังครับ ? หรือเรายังคงเป็นคนหนึ่งคนที่นั่งรถ Taxi ไปเรื่อยๆ เผาเวลาและเงินทองไปโดยไม่ได้ให้คุณค่าที่แท้จริงกับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิต

ถ้าในชีวิตจริงเราเจอเหตุการณ์แบบนี้
ถ้าไม่คนขับ หรือคนโบกรถ น่าจะต้องมีสักคนที่ปัญญาอ่อนแน่ๆ
เพราะคงไม่มีใครที่ขึ้นแท๊กซี่ด้วยอาการไร้สาระแบบนั้น
แล้วเส้นทางชีวิตหรือเป้าหมายชีวิตของเราละ ?? เรามีกันหรือยัง ??
หรือเราอยากเป็นคนแก่คนหนึ่ง ที่มานั่งเสียดายชีวิตที่ผ่านมา และบ่นกับตัวเองว่าเสียดายเวลาในชีวิตที่ผ่านๆมา

งานที่คุณทำหรือที่คุณกำลังมองหา ยังไม่สำคัญว่าเป้าหมายที่เราต้องการมันคืออะไร
สิ่งสำคัญคือเราต้องวางเป้าหมายให้ชัดเจน มีฝันที่มั่นคง
ส่วนเส้นทางหรือวิธีการที่จะเดินทางไปนั้น??มันจะปรากฎออกมาเองโดยที่ไม่ต้องมาถามใครว่าจะทำงานอะไร อาชีพและแนวทางชีวิตจะมาให้เราเลือกเองในวันที่เป้าหมายเราชัด
คนที่มีฝันชัดเจนว่าอยากจะเป็นนักบิน ได้ท่องเที่ยวทั้วโลก มีเงินเดือนสูงพอที่จะดูแลคนทั้งครอบครัว เขาก็จะเตรียมพร้อมและทำทุกอย่างเพื่อจะเป็นนักบิน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ ติวหนังสือ ฝึกษาอังกฤษ และเฝ้าติดตามสอบทุกๆครั้งที่มีการรับสมัคร

คงไม่ไปเสียเวลาไร้สาระกับการเรียนต่อ ป.โท เพราะขี้เกียจหางานหรือฆ่าเวลาไปพลางๆเพื่อจะได้วุฒิเอามาทำเท่ห์

เพราะคนที่เป้าหมายชัดเจน จะไม่ทำอะไรอันเป็นการเสียเวลาหรือขัดขวางเส้นทางที่จะไปสู่เป้าหมาย
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปถาม ?ผมจะไปหมอชิตครับ?
?ได้เลยครับ ขึ้นมาเลย? Taxi เชิญ
?จะไปทางด่วน หรือเข้าวิภาฯไปทางปกติครับ? Taxi ถาม
?ไปทางด่วนแล้วลงตรงหมอชิตเลยครับ พอดีผมรีบ ผมไม่อยากเสียเวลา? ชายหนุ่มตอบ
?ได้เลยครับ?

ไม่รู้ว่าจะพอสะกิดใจใครบางคนที่กำลังหางานหรือใช้ชีวิตไปวันๆได้แค่ไหนนะครับ ^^
ถ้าชอบจะมาแบ่งปันอีกครับ




__________________
สงสัยเรื่องการใช้ยาแวะเข้ามาถามได้จ๊ะ ที่นี่ (อย่ายากมากนะค่ะ)
JigSaW is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 07-06-2012   #2
Senior Member
 
JigSaW's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 340
บล็อก: 18
ถ่ายทอดพลัง: 317
คะแนนหรอย: 255
Default ปัญหาหลักของมนุษย์เงินเดือน ข้อที่ 2 : ความกลัวในใจ

ปัญหาหลักของมนุษย์เงินเดือน ข้อที่ 2 : ความกลัวในใจ

ตอนที่สอง ของ ปัญหาหลักของ มนุษย์เงินเดือน จากพันทิพย์อีก 1 เรื่องที่อยากให้อ่านกันครับ ผมอ่านแล้วชอบเลยเอามาแชร์ ^_^ เป็นซีรีย์ต่อจาก 10 ข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง กับ คนจน

ช้างนั้นมีพละกำลังมหาศาล ช้างสามารถโค่นต้นไม้ ทำลายบ้าน สามารถต่อกรได้กับสัตว์ทุกชนิด
แต่ท่านเชื่อไหมว่าช้างที่ถูกเลี้ยงมานั้นบางเชือกนั้นช่างแปลกนัก เมื่อควาญช้างเอาเชือกกล้วยมาพันข้อขาข้างหนึ่งของเจ้าช้างตัวใหญ่ มันจะไม่ขยับไปไหนราวกับถูกล่ามไว้กับโซ่ตรวน แม้ว่าเชือกกล้วยจะไม่ได้ผูกเข้ากับเสาใดๆก็ตาม ทั้งๆที่ช้างนี้มาพละกำลังมากมายนักแต่กลับจำนนต่อเชือกกล้วยธรรมดาๆ
เพราะตอนช้างมันยังเป็นเด็กเล็ก มันก็ถูกผูกไว้กับต้นไม้ เนื่องจากมันยังเด็กและยังเล็ก มันไม่สามารถดึงเชือกให้ขาดได้ เมื่อลองแล้วมันก็จำฝังใจว่า ?ฉันทำไม่ได้หรอก?

เมื่อมันโตขึ้นมันก็ยังคงมีความคิดแบบเดิม กับสิ่งเดิมๆ เมื่อใดก็ตามที่ควาญช้างเอาเชือกมาคล้องที่ขามัน มันจะหยุดอยู่นิ่งๆ แม้ว่ามันจะโตขึ้นๆๆ
ช้างมันโตขึ้น แต่ความคิดมันไม่ได้โตตาม
มันยอมโดนเชือกกล้วย ?ผูก? ไว้ตั้งแต่เล็กจนโต แม้ควาญช้างจะไม่ได้เอาปลายเชือกอีกข้างไปผูกกับต้นไม้เลยก็ตาม
พวกเราเป็นคน หรือเป็นช้างครับ ??

คนบางคนอ่อนแอและมีความเชื่อในใจต่ำกว่าช้างอีก เพราะคนบางคนยอมให้ตัวเองถูก ?ผูก? ไว้กับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีตัวตน เช่นความกลัว ความขี้เกียจ
คนเรามีศักยภาพมากมาย คนเราสามารถทำสิ่งต่างๆได้เยอะแยะ แต่เรากลับยอมให้ความกลัวมันผูกตัวเราไว้

ไม่มีใครจะช่วยแก้เชือกแห่งความกลัวที่ผูกตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง
ในชีวิตประจำวันของเรา เรามักจะมีความกลัวมาเป็นข้ออ้างในการไม่ทำสิ่งต่างๆ
เราไม่กล้าทำในสิ่งที่ดีงาม เพราะกลัวคนอื่นหมั่นใส้
เรากลัวความล้มเหลว จึงได้แต่ทนทำงานประจำที่ไม่มีอนาคต
เรากลัวความเสี่ยงจากการลงทุน เราจึงอยู่เฉยๆให้เงินมันสูญหายไปกับเงินเฟ้อ
เรากลัวการรู้จักกับคนใหม่ๆ ชีวิตเราจึงมีแต่เพื่อนห่วยๆหน้าเดิมๆรอบตัวเต็มไปหมด
เรากลัวที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เพราะเราดูถูกศักยภาพตัวเองว่าเราไม่เก่ง เราไม่มีโอกาสหรือเปล่า
เรากลัวการเปลี่ยนแปลง เราจึงยอมให้ชีวิตย้ำอยู่ที่เดิมเป็นปีๆ โดยหวังล้มๆแล้งๆว่าสกวันชีวิตจะดีขึ้น
ความกลัวนั้นไม่ได้มีควาญช้างคนไหนเอามันมาผูกขาเราไว้ แต่เป็นเพราะเราเองหรือเปล่าที่สร้างมันขึ้นมาทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวเอง ไม่สามารถทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เราต่างคนก็มีความกลัวทั้งสิ้น แต่ทำไมบางคนเลือกที่จะเอามันมาผูกไว้ในชีวิต และทำไมบางท่านถึงไม่ได้เอามันมาพันธนาการตัวเองไว้ ??

ความกลัวมนุษย์คนไหนใครก็คงมี แต่สิ่งที่ต่างกันคือความกล้า
กลัวแค่ไหนก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเราเพิ่มความกล้าเข้าไปให้มากกว่าคนกลัว มันจะสู้ได้เอง
คนที่กลัวผี สามารถเดินฝ่าซอยมืดๆได้คนเดียวก็เพราะ ?กลัวแต่สู้? เขากลัวแต่ก็กัดฟันทำ กลัวแต่ก็ฝืนใจวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อจะผ่านพ้นซอยอันแสนมืดนั้นไปได้

แต่คนที่ไม่มีความกล้า ก็คงได้แต่นั่งภาวนารอให้มีคนเดินผ่านมาเป็นเพื่อน หรือโทรเรียกใครบางคนมาช่วย แบบนี้เรียกว่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่น

แค่มี?ความกล้า? คนเราก็สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองกลัวมาทั้งชีวิตได้แล้วครับ
สิ่งที่ผูกเราไว้นั้นช่างไร้สาระเสียเหลือเกิน มันช่างกระจอกยิ่งกว่าเชือกกล้วยเสียอีก เพราะมันล้วนแต่ไม่มีตัวตนทั้งสิ้น ช้างมันยังอ้างว่ามีเชือกมาผูกขามันไว้ แต่คนเราจะอ้างถึงสิ่งใดหรือ ???
ท่านที่ชีวิตยังเหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนมาไหนมาหลายปี จริงหรือไม่เพราะท่านกำลังถูกผูกไว้กับอะไรบางอย่างที่ท่านยอมแพ้มันเอง

ถ้าเป็นจริงขออวยพรให้ท่านมีความกล้าที่จะทำลายสิ่งที่ผูกท่านมานานปีครับ

__________________
สงสัยเรื่องการใช้ยาแวะเข้ามาถามได้จ๊ะ ที่นี่ (อย่ายากมากนะค่ะ)
JigSaW is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 07-06-2012   #3
Senior Member
 
JigSaW's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 340
บล็อก: 18
ถ่ายทอดพลัง: 317
คะแนนหรอย: 255
Default ปัญหาหลักของ มนุษย์เงินเดือน ข้อแรก 3 รายได้ ? เวลา ? ความมั่นคง

ปัญหาหลักของ มนุษย์เงินเดือน ข้อแรก 3 รายได้ ? เวลา ? ความมั่นคง

ตอนที่ 3 แล้วครับ ปัญหาหลักของ มนุษย์เงินเดือน เรื่องดีๆ จากพันทิพย์อีก 1 เรื่องที่อยากให้อ่านกันครับ ผมอ่านแล้วชอบเลยเอามาแชร์ ^_^ เป็นซีรีย์ต่อจาก 10 ข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง กับ คนจน ครับ

ผมเคยคุยสนุกๆกับเพื่อน
?อ๊อด นายเงินเดือนตอนนี้เท่าไหร่?
?24000 บ. รวมโอทีก็สามหมื่นนิดๆ? เพื่อนที่รักตอบ ?
?ถ้าเฉลี่ยเป็นวันก็ตกวันละ 1000บ. นายสนใจลาออกมาทำงานกับเราไหม?
?ก็อยากลาออกอยู่ ทำงานโคตรหนักเลย บางสัปดาห์ไม่ได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ด้วยซ้ำ ตื่นเช้า เลิกก็ค่ำ ว่าแต่นายจะให้เงินเดือนเท่าไหร่? เพื่อนผมถาม

?3 แสนต่อเดือน?
?ได้ เดี๋ยวลาออกพรุ่งนี้มาสมัครเลย ว่าแต่เป็นงานอะไร?
?งานชิมเบียร์?

?ดีเลยเราชอบดื่มเบียร์ แล้วต้องทำอะไรบ้าง?
?นายต้องดื่มเบียร์วันละ 2 ลัง (24 ขวด) ทุกวัน หมุนเวียนเปลี่ยนยี่ห้อไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะจบโปรเจ็ค 15 ปี?

?ไม่เอาแล้ว ๆๆๆๆ อายุสั้นพอดี ให้เงินเดือนมากกว่านี้ก็ไม่เอา ไม่อยากตายไว?
?555 นายจะกังวลอะไร ได้เงินเดือนเยอะกว่าที่เดิมตั้ง 10 เท่าเลยนะ?

?แต่ถ้าอายุสั้นก็ไม่คุ้มสิ นายอย่าลืมนะว่าเวลาในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มีเงินแต่ไม่มีเวลาก็ไม่มีประโยชน์? เพื่อนผม พูดได้คมคายเหลือเกิน
?เวลา?? นายว่าเวลาสำหรับนาย มันสำคัญจริงหรือ ?? ผมถามย้ำ
?สำคัญสิ มีเงินเยอะแค่ไหนแต่ไม่มีเวลาก็เท่านั้น นอกจากจะไม่มีเวลาใช้เงิน เผลอๆอาจจะตายเร็วเพราะทำงานหนักอีก?
.
.
.
?ถ้าเวลามันสำคัญขนาดนั้น ทำไมนายเอาเวลาทั้งชีวิตของนายไปให้เขาเช่าวันละ 1000 บ. ละ ?? ?
.
การเป็นพนักงานที่รับเงินเดือน หลายๆท่านจะพึงพอใจกับงานที่ท่านทำและรายได้ที่ท่านได้รับ แต่การทำงานประจำเป็นลักษณะงานที่ลูกจ้างไม่มีวันรวย เหมือนการไปปลูกต้นกล้วยบนที่ดินของคนอื่น
ไม่ว่าท่านจะปลูกเก่งแค่ไหน ต้นกล้วยจะโตขึ้นและสวย สามารถออกดอกออกผลได้มากเท่าไหร่ สิ่งที่ท่านได้ก็เพียงผลกล้วย อีกจะหวีสองหวีกลับไปกินบ้างเล็กๆน้อยๆ จากการที่เจ้าของตัวจริงเขาแบ่งให้ท่าน
เป็นค่าตอบแทนที่ท่านช่วยทำงานให้เขาสำเร็จ..


สุดท้ายต้นกล้วยต้นนั้น เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ วันที่เราไม่อยู่ด้วยสาเหตใดๆก็ตาม หรือถูกไล่ออกไม่ให้ดูแลต้นกล้วยต้นนั้น เจ้าของต้นกล้วยก็คงวุ่นวายกับการหาคนมาปลูกแทนเราเพียง 1-2 วันเท่านั้น
แต่เป็นเราที่ลำบากต้องหาที่ทำงานใหม่ เพราะมนุษย์เงินเดือนที่มีชีวิตผูกไว้กับเงินเดือนเป็นรายได้ทางเดียวจะสามารถล้มละลายและหมดตัวได้ง่ายๆถ้าไม่มีเงินเดือนมาหล่อเลี้ยงชีวิตภายใน 3 เดือน ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่ ค่าผ่อนต่างๆที่เราสร้างหนี้สินไว้


เราทำงานประจำมานาน?.ใครมั่นคงครับ ?
เจ้าของบริษัทหรือเราที่มั่นคง ?
?อนาคต นายจะเอายังไง? ผมถามเพื่อนสนิทผมที่เป็นมนุษย์เงินเดือน
?ถ้าเราอยู่ที่นี่แล้วไม่ได้ up ตำแหน่งก็คงต้องย้ายบริษัท?


?แล้วตำแหน่งที่นายอยาก up ขึ้นไป เขารับกี่ตำแหน่ง?
?น้อยวะ ระดับหัวหน้าก็อาจจะแค่ 8 คน?
? 8 คนนี้ช้เวลานานแค่ไหนถึงเขาจะมายืนในตำแหน่งหัวหน้า ??


?เกิน 7 ปี บางคน10 ปีแล้วยังไม่ได้เป็นก็มี?
หลายๆท่านมีความหวังจะได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น เงินเดือนที่มากขึ้น
ทุกคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ต่างก็หวังในสิ่งนี้เหมือนๆกัน ใครๆก็หวังที่จะมีเงินเดือนมากขึ้นจากการเพียรพยายามทำงานให้บริษัทของเขา

แต่ในความเป็นจริง ตำแหน่งที่สูงขึ้นไป นั้นมีจำกัด ต่อให้คุณสมับติเราพร้อมแต่ถ้า ณ เวลาดังกล่าวตำแหน่งนั้นไม่ว่างก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถไปแทรกกันได้ง่ายๆ

โครงสร้างขององค์กรต่างๆ จึงเป็นพีระมิด CEO มีคนเดียว หัวหน้าต่างๆก็มีจำนวนหลัก 10 หัวหน้าแผนกย่อมๆก็ 10-50 คน พนักงานกระจุ๊บกระจิบมีเป็น100-1000 คน

ผมชอบคำพูดประโยคหนึ่งมากๆ เขาว่า ?หมอดูที่ดีที่สุดคือรุ่นพี่เรา?
ถ้าท่านอยากรู้ชีวิตของท่านในอนาคต จงดูที่รุ่นพี่ของท่าน
ถ้าท่านๆที่ทำงานประจำ อยากมองเห็นอนาคตอีก 5 ปีว่าชีวิตที่ทำงานท่านจะเป้นอย่างไรให้ท่านลองดูในอ๊อฟฟิต หรือที่ทำงานของท่าน แล้วมองไปดูที่คนที่ทำงานมาก่อนท่าน 5 ปี
ว่าเขายังเป็นพนักงานระดับล่าง หรือไปเป็นผู้บริหารแล้ว


ดูคนที่เขาทำงานมา 10 ปี ว่าเขามีรายได้และมีเวลาในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า
ดูคนที่เขาทำงานมา 20 ปี ว่าเป้นชีวิตที่เท่าอยากได้จริงๆหรือไม่
สิ่งเหล่านั้นกำลังจะเกิดขึ้นกับท่าน เฉกเช่นเดียวกันถ้าท่านเดินตามรอยในที่ทำงานแบบนั้น
ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนจึงถูกลิขิตไว้กับงานที่เขาทำ
เขาจะสามารถใช้จ่ายได้เพียงเท่ากับรายรับที่บริษัทแบ่งมา
จะมีเวลาว่างตราบที่งานการยอมให้หยุดบ้างบางครั้ง


ยอมให้เราได้เงินเดือนมากขึ้นและมีตำแหน่งที่มากขึ้น ถ้าเราทำงานได้คุ้มกับการทำให้บริษัทเขามั่นคงมากยิ่งขึ้น

ความมั่นคงจริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแหล่งที่มาของรายได้ที่มั่นคงจริงๆหรือเปล่า ซึ่งในมุมมองของผมการมีเงินเดือนเป็นสิ่งที่ดี?แต่ท่านต้องทนทำไปอีกนานแค่ไหน ??
หลายๆท่านที่คิดได้ ผมสังเกตท่านเหล่านี้จะหาทางเลือกในชีวิตไว้เสมอๆ
หลายๆท่านทำมาค้าขายควบคู่กับการทำงานประจำ เช่น ขายของในเน็ต
บางท่านก็ฝึกฝนที่จะเริ่มเป็นนักลงทุน เล่นหุ้น เล่นทอง เล่นที่
บางท่านก็ลงทุนในธุรกิจเครือข่าย จนมีเงินค่าคอมมิชั่นมากกว่าเงินเดือนประจำก้มีให้เห็นเยอะ (ไม่ได้ตั้งใจจะโฆษณาให้ใครครับ เพียงแต่เอาข้อเท็จจริงมาเล่า)

บางท่านก็พยายามฝึกเรียนวิชาชีพเฉพาะด้าน เพื่ออนาคตจะได้มีกิจการเป็นของตัวเอง เช่น ซ่อมคอมฯ ทำอาหาร สอนพิเศษ

แต่หลายๆท่านที่ทำงานประจำไม่ได้คิดถึงส่วนนี้ เขาเอาเวลาไปดูซีรี่ย์ ไปเที่ยว เอาเวลาไปเผาทิ้งหรือ ?ฆ่าเวลา?

ชีวิตเราไม่มีใครเหมือนกัน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าอยากจะมีมั่นคงจริงๆหรือไม่ แต่การทำงานประจำกินเงินเดือนไปเรื่อยๆอย่างเดียว คงเป็นอะไรที่เสี่ยงมากที่สุดและหาความมั่นคงที่แท้จริงยาก

__________________
สงสัยเรื่องการใช้ยาแวะเข้ามาถามได้จ๊ะ ที่นี่ (อย่ายากมากนะค่ะ)
JigSaW is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 07-06-2012   #4
Senior Member
 
JigSaW's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 340
บล็อก: 18
ถ่ายทอดพลัง: 317
คะแนนหรอย: 255
Default

10 ข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง กับ คนจน
ข้อหนึ่ง
เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง
คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ ?ซุบซิบนินทา? เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม
คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่
คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง ?บ้าบิ่น? เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า
คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก
คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด
คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด
คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า
คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

และสุดท้าย ข้อสิบ
คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

__________________
สงสัยเรื่องการใช้ยาแวะเข้ามาถามได้จ๊ะ ที่นี่ (อย่ายากมากนะค่ะ)
JigSaW is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 08-06-2012   #5
Senior Member
 
Goo-มัน-อึน's Avatar
 
วันที่สมัคร: Feb 2012
ข้อความ: 131
ถ่ายทอดพลัง: 242
คะแนนหรอย: 154
Default

หลังจากได้อ่านแล้ว บทความที่เห็นจะเป็นประโยชน์สำหรับผมมีแค่ข้อ 2 ความกลัวในใจ .. ส่วนบทความอื่นๆอ่านแล้วผมไม่เห็นด้วย เพราะผู้เขียนให้ความสำคัญกับความคิดตัวเองเพื่อตัดสินคนอื่นมากเกินไป อ่านแล้วรู้สึกแบ่งแยก บทความประเภทนี้ค่อนข้างจะให้กำลังใจคนได้น้อย เพราะเป็นบทความเชิงเปรียบเทียบฐานะทางสังคม เหมือนความคิดเฉพาะเจาะจงอย่าง กระแทกกระทั้นแดกดันหน่อยมันจะได้พยายามให้มากขึ้น ซึ่งถ้านำมาใช้กันจริงๆคนๆนั้นจะแย่ลง ไม่ใช่ดีขึ้นอย่างที่คิด ... ผมไม่รู้ว่าคนในสังคมกำลังคิดอะไรกันอยู่ หรือมองหามองเห็นอะไรในอนาคต แต่กับผมถ้านาฬิกามันยังเดินเวียนขวาเหมือนเดิมแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่ง คนที่ทำนาปลูกข้าวเป็นจะน้อยลง ชาวไร่ชาวนาที่มีที่เป็นของตัวเองน้อยลง ที่ดินที่ใช้ทำเกษตรกรรรมได้ตลอดปีน้อยลง อาหารน้อยลง ถึงตอนนั้นจะยังไง รายได้น้อยคงต้องรับจ้างปลูกข้าวกับนายทุน ถ้ารวยคงได้กินข้าวนำเข้าละมัง ... สังคมยังโชคดีที่ชาวนาส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีความคิดเดียวกับผม ไม่งั้น ทุกวันนี้คงพากันปลูกข้าวแค่พอกินไม่ต้องเปลืองแรงปลูกเผื่อขาย เอาที่เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ปลูกผักเลี้ยงปลาเลี้ยงเนื้อตามเรื่องตามราว นอกฤดูก็แปลงร่างเป็นมนุษย์เงินเดือน ... นี่แหละที่ผมมองสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมที่เงินเป็นจ้าว ณ เวลานี้ ...

Goo-มัน-อึน is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 08-06-2012   #6
Administrator
 
ohmohm's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 5,162
บล็อก: 182
ถ่ายทอดพลัง: 4,245
คะแนนหรอย: 2,838
Default

จากการอ่านบทความนี้ผมวิเคราะห์เป็น 2 แบบครับผม
แนวคิดแบบนี้อาจเป็นแนวคิดจากต่างประเทศจ๋าเลยทีเดียวครับ ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาน่าจะคิดกันแบบนี้
แนวคิดในการสร้างสินค้าหรือผลิตภัณอะไรออกมาอย่างงั้นมั้งครับ เหมือนกับญี่ปุ่นสร้างการ์ตูนออกมาเยอะเยาะ
ห้างร้านเล็กๆต่างต่างมีอยู่ในเมืองมากมาย บริมาณการเปิดบริษัทหรือทำสินค้าคิดสินค้ามากกว่าประเทศเรามาก
เมื่อเทียบกับสัดส่วนของปริมาณคน (เรื่องนี้สะท้านความกล้าและความคิดสร้างสรรค์ได้มากเลยทีเดียวครับ)
อเมริกาก็มีสินค้าออกมามาก 2 ประเทศนี้พยายามอยู่บนสุดของสายพานการผลิตตลอด

บทความนี้อาจสะท้านความกล้าของการสร้างสินค้าหรืออะไรที่เป็นส่วนตัวมากกว่าการเรียนแล้วต้องการเป็น
เพียงพนักงานเพียงอย่างเดียวครับ สรุปแล้วคือนานาจิตตังครับ เป็นเรื่องของแนวคิดมากกว่า
ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้บางส่วนเหมือนกัน เพราะเราแบ่งประเภทของคนจริงๆนั้นไม่สามารถทำได้ครับ

__________________
ผมรักเว็บการ์ตูนหรอยกูที่สุดในโลก
ohmohm is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 08-06-2012   #7
Senior Member
 
nineorange's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 134
บล็อก: 7
ถ่ายทอดพลัง: 114
คะแนนหรอย: 175
Default

เออ เอาเป็นว่า เวลาที่ผมเจอกับเรื่องประมาณนี้(เป้าหมายชีวิต การดำเนินชีวิต)ผมจะเปิดหนังเรื่อง Fight Club ดูครับ!!

nineorange is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 09-06-2012   #8
Senior Member
 
TaiMosU's Avatar
 
วันที่สมัคร: Aug 2011
ข้อความ: 318
ถ่ายทอดพลัง: 39
คะแนนหรอย: 364
Default

ยาวมาก ตั้งใจอ่านอยุ่แต่ตอนนนี้เราก็เป็น พนง.กินเงินเดือนเค้าไปวันๆ
ลองออกมาอยู่ด้วยตัวเอง รู้เลยว่า ตัวเองยังทำมันตอนนี้ไม่ได้
คนที่จะทำได้ขนาดนั้น ต้องหนักแน่นเเละมั่นคงในตัวเองพอสมควรเลย
กล้าที่เปิดออกไป

สำหรับเรา

ตอนนีี้เราแฮปปี้ แต่อนาคตมันต้องไม่ใช่สิ่งที่เราอยู่ตอนนี้แน่นอน 555

__________________
TaiMosU is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 09-06-2012   #9
Moderator
 
KunMama's Avatar
 
วันที่สมัคร: Sep 2011
ข้อความ: 550
บล็อก: 1
ถ่ายทอดพลัง: 620
คะแนนหรอย: 378
Default

ผมเป็นคนที่พึ่งเริ่มต้นทำงานเหมือนกันครับ ตอนแรกคิดว่าการทำงานคงไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก
และไม่เคยคิดเรื่องเงิน พอทำงานต้องเลี้ยงตัวเองเลยรู้เลย เรื่องเงินสำคัญมากเงินส่งให้พ่อแม่
ก็ไม่เคยส่งให้ซักบาทครับ(เพราะใช้หมดก่อน)

ถ้าใครทำอะไรที่เป็นส่วนตัวได้ทำเถอะครับ กล้าเสี่ยง เรื่องรวยกว่าหรือจนกว่าผมไม่รู้นะ
แต่ผมก็อยากมีกิจการเป้นของตัวเองเหมือนกัน

KunMama is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 12-06-2012   #10
Senior Member
 
ลุงปลวก's Avatar
 
วันที่สมัคร: Feb 2012
ข้อความ: 338
ถ่ายทอดพลัง: 400
คะแนนหรอย: 257
Default

กหมือนมีเข็มทิศชีวิต

__________________
ลุงปลวก is offline   ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

Tags
คิดได้ก่อน, น้องคนไหนอ่านก่อน, มีความสุขกับชีวิตก่อนค่ะ
คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is ใช้ได้
Trackbacks are ใช้ได้
Pingbacks are ใช้ได้
Refbacks are ใช้ได้



ออกจากระบบ | RoiGOo เว็บการ์ตูนหรอยกู | เอกสาร | ไปบนสุด

vBulletin รุ่น 3.8.7
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด