การปลูกพืชไร้ดินระบบไฮโดรโปนิกส์ปลูกผักในบ้านง่ายง่าย [FONT=Tahoma] เรื่องการปลูกพืชไร้ดินระบบไฮโดรโปนิกส์กำลังเป็นที่นิยมมาก(ในบ้านผม) จริงแล้วไม่ได้อยากจะปลูกอะไรกันให้ร่ำรวยนักหรอกครับแต่แค่อยากทำอะไรขำ ขำกับคุณแม่เท่านั้นเองเลยเอากิจกรรมการปลูกพืชไร้ดินระบบไฮโดรโปนิกส์มา ทำรวมกันเผื่อจะได้กินผักกินอะไรกับเค้าบ้าง งานนี้ขอบคุณ[/FONT]โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย :jing: [FONT=Tahoma] [/FONT]http://3.bp.blogspot.com/_fwZMURBzvG...May31,2007.jpg http://media.treehugger.com/assets/i...ro3_051905.jpg http://www.thcfarmer.com/forums/atta...im1634.jpg.att [FONT=Tahoma] :ha: การปลูกพืชไร้ดินระบบไฮโดรโปนิกส์ [/FONT] [FONT=Tahoma]วิธีปลูกในสารละลายธาตุอาหาร ([/FONT][FONT=Tahoma]liquid culture)[/FONT][FONT=Tahoma] เป็นการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ที่ได้รับความนิยมมากกว่าแบบอื่นๆและใช้ได้ดี ในที่ที่มีแดดจัด วิธีการหลักคือการนำรากพืชจุ่มลงในสารละลายโดยตรง รากพืชไม่มีการเกาะยึดกับวัสดุใดๆ ยังสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ ดังนั้นจึงมักใช้การยึดเหนี่ยวในส่วนของลำต้นไว้แทนเป็นการรองรับรากของต้น พืชเพื่อการทรงตัว หลักการนำรากพืชจุ่มในสารละลายและข้อสังเกตในการปลูกพืชในน้ำ คือ ปกติแล้ว ถ้านำต้นพืชที่ขึ้นอยู่บนดินมาวางแช่น้ำ ในระยะแรกต้นพืชจะยังสามารถเจริญงอกงามต่อไปได้ แต่่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งกลับพบว่า ต้นพืชที่เจริญต่อไปนั้นกลับแสดงอาการเหี่ยวเฉาโดยสาเหตุมาจากเมื่อรากพืช แช่อยู่ในน้ำนานๆ จะเกิดการขาดออกซิเจนจึงทำให้พืชเฉาตาย ดังนั้น การปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหาร จึงต้องมีหลัก และเทคนิควิธีการที่แตกต่างจากวิธีอื่น คือ ต้องพัฒนารากพืชในต้นเดียวกันนั้นให้สามารถทำงานได้ 2 หน้าที่พร้อมๆ กัน คือ รากดูดออกซิเจน (oxygen roots) และ รากดูดน้ำและธาตุอาหาร(water nutrient roots) การจะทำให้รากพืชทำงานได้ทั้ง 2 หน้าที่นั้นต้องพยายามให้ส่วนหนึ่งของรากพืชสัมผัสกับอากาศได้โดยตรงบริเวณโคนราก (ส่วนนี้ต้องให้มีช่องว่างของอากาศไว้สำหรับให้รากหายใจ เอาออกซิเจนเข้าไป และอีกส่วนหนึ่งตรงปลายรากจุ่มแช่อยู่ในสารละลาย) ซึ่งหลักการคือ รากส่วนที่มีหน้าที่ดูดน้ำและอาหารสามารถพัฒนาเป็นรากดูดอากาศได้ แต่รากดูดอากาศจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นรากดูดน้ำและแร่ธาตุได้ ดังนั้นจึงต้องไม่เติมสารละลายท่วมรากส่วนที่ทำหน้าที่ดูดอากาศเพราะพืชจะ ไม่่สามารถดูดออกซิเจนและตายได้ในที่สุด ด้วยหลักการดังกล่าวต้นพืชจึงสามารถจุ่มแช่อยู่ในสารละลายได้โดยไม่เน่าตาย และไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการเติมอากาศกับพืชบางชนิด ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงระดับของสารละลาย ให้มีความเหมาะสมกับความยาวของรากพืชในแต่ละช่วงอายุของพืชด้วย หรืออาจใช้เครื่องปั๊มอากาศช่วยเติมออกซิเจนให้แก่รากพืช และสำหรับระบบการให้สารละลายธาตุอาหารแก่พืชนั้นแบ่งเป็น 2 วิธี คือ [/FONT][FONT=Tahoma] [/FONT] [FONT=Tahoma] [FONT=Tahoma]1. แบบสารละลายไม่หมุนเวียน (non-circulating system)[/FONT] สามารถทำได้โดยเตรียมภาชนะปลูกที่ไม่มีรอยรั่วซึม นำสารละลายที่เตรียมไว้เติมลงในระดับที่พอเหมาะ แล้วนำตะแกรงหรือแผ่นโฟมเจาะรูวางทาบที่ปากภาชนะเพื่อช่วยพยุงต้นให้ทรงตัว อยู่ได้หลังจากนั้นนำต้นกล้าที่เพาะบนฟองน้ำมาสอดเข้าในรูโฟม วิธีนี้ยังเป็นการช่วยปกป้องมิให้แสงสว่างสอดส่องลงมาในสารละลายได้ นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องคำนึงถึงคือการเว้นช่องว่างระหว่างพื้น ผิวสารละลายกับแผ่นโฟมเพื่อเป็นพื้นที่ให้ออกซิเจนแก่รากพืชการปลูกแบบสาร ละลายไม่หมุนเวียนนี้ยังจำแนกย่อยได้เป็น 2 วิธี คือ[/FONT] [FONT=Tahoma] 1.1 แบบไม่เติมอากาศ[/FONT] <table class="MsoNormalTable" style="width: 40.0%" id="table45" width="40%" border="0" cellpadding="0"><tbody><tr style="height: 126.75pt"><td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt;height:126.75pt"> [FONT=Tahoma]http://www.thaigoodview.com/library/...s/image002.jpg[/FONT] [FONT=Tahoma] </td></tr><tr style="height: 27.0pt"><td style="height: 27.0pt; padding: .75pt; background: yellow"> [FONT=Tahoma] รูปภาพการปลูกแบบสารละลายไม่หมุนเวียน[/FONT][FONT=Tahoma]ไม่เติมอากาศ [/FONT] [FONT=Tahoma] ที่มา : ถวัลย์[/FONT][FONT=Tahoma], 2534[/FONT] [/FONT] [FONT=Tahoma]1.2 แบบเติมอากาศ[/FONT] [FONT=Tahoma] โดยใช้ปั๊มลมให้ออกซิเจน เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มทดลองหรือปลูกเป็นงานอดิเรก เพราะใช้ต้นทุนต่ำ[/FONT][FONT=Tahoma] ติดตั้งง่าย สามารถใช้งานได้เร็ว และสามารถควบคุมโรคที่มาจากการไหลเวียนของน้ำได้ง่าย[/FONT] <table class="MsoNormalTable" style="width: 34.0%" id="table46" width="34%" border="0" cellpadding="0"><tbody><tr style="height: 127.5pt"><td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt;height:127.5pt"> [FONT=Tahoma]http://www.thaigoodview.com/library/...s/image003.jpg[/FONT] </td></tr><tr style="height: 18.0pt"><td style="height: 18.0pt; padding: .75pt; background: yellow"> [FONT=Tahoma] รูปภาพการปลูกแบบสารละลายไม่หมุนเวียน[/FONT] [FONT=Tahoma] เติมอากาศ[/FONT][FONT=Tahoma] [/FONT][FONT=Tahoma]ที่มา : ถวัลย์[/FONT][FONT=Tahoma], 2534[/FONT] [FONT=Tahoma] 2. [/FONT][FONT=Tahoma] แบบสารละลายหมุนเวียน ([/FONT][FONT=Tahoma]circulating system)[/FONT][FONT=Tahoma] จุดสำคัญของระบบนี้คือ การใช้ปั๊มในการผลักดันให้สารละลายมีการไหลเวียนดีขึ้นข้อดีของระบบนี้คือ นอกจากจะมีการเพิ่มออกซิเจนให้รากพืชโดยตรงแล้ว ยังเป็นการช่วยให้้สารละลายเกิดการเคลื่อนไหวช่วยไม่ให้ธาตุอาหารตกตะกอน ทำให้ต้นพืชได้รับอาหารเต็มที่ เป็นระบบที่ใช้แพร่หลายในเชิงพาณิชย์ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 วิธี คือ 2.1 การให้สารละลายไหลผ่านรากพืชอย่างต่อเนื่อง (nutrient flow technique) มีวิธีการเหมือนการปลูกพืชแช่ในลำธารเล็กๆมีน้ำตื้นๆ ที่ระดับความลึกเพียง 5-10 เซนติเมตรไหลช้าๆ ผ่านรากพืชสม่ำเสมอ [/FONT] <table class="MsoNormalTable" style="width: 38.0%" id="table42" width="38%" border="0" cellpadding="0"><tbody><tr><td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt"> [FONT=Tahoma]http://www.thaigoodview.com/library/...s/image002.jpg[/FONT] [FONT=Tahoma]</td></tr><tr><td style="padding: .75pt; background: yellow"> [FONT=Tahoma] รูปภาพการปลูกพืชแบบให้สารละลายไหลผ่านรากพืชอย่างต่อเนื่อง[/FONT][FONT=Tahoma] [/FONT][FONT=Tahoma]ที่มา : ถวัลย์[/FONT][FONT=Tahoma], 2534[/FONT] [/FONT][FONT=Tahoma] 2.2 การให้สารละลายผ่านรากพืชเป็นแผ่นบางๆ (nutrient film technique) เป็นเทคนิคที่ได้รับความสนใจอย่างมากเป็นการปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรง สารละลายจะไหลเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ (หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) ในลำรางปลูกพืชกว้างตั้งแต่่ 5-35 เซนติเมตร ขึ้นกับชนิดของพืชที่ปลูก ลำรางสูงประมาณ 5 เซนติเมตร ความยาวของรางตั้งแต่ 5-20 เมตร แต่โดยทั่วไปไม่ควรเกิน10 เมตร เพราะจะทำให้เกิดความแตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหัวและท้ายรางได้ รางอาจทำจากแผ่นพลาสติกสองหน้าขาวและดำหนา 80-200 ไมครอน หรือจาก PVC ขึ้นรูปเป็นรางสำเร็จรูป หรือทำจากโลหะ เช่น สังกะสี หรือ อลูมิเนียมบุภายในด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันการกัดกร่อนของสารละลาย ต้นพืชจะลอยอยู่ในลำรางได้โดยใช้วัสดุห่อหุ้มต้นหรือให้รากพืชเกาะยึดกับ วัสดุรองรับรากที่สามารถดูดซับน้ำได้ซึ่งในต่างประเทศนิยมใช้ polyurethane foam แต่สำหรับประเทศไทยการใช้วัสดุชนิดนี้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมากเนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงต้องใช้วัสดุอื่นที่หาได้ในประเทศไทยแทนรางปลูกจะถูกปรับให้ลาดเทประมาณร้อยละ 2 สารละลายจะถูกปั๊มสูบน้ำจากถังเก็บสารละลาย แล้วปล่อยเป็นฟิล์มบางๆ ผ่านรากพืชด้วยความเร็วประมาณ 2 ลิตรต่อนาทีเพื่อให้รากพืชได้รับออกซิเจนเพียงพอ ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของลำรางจะมีรางนำรองรับสารละลายธาตุอาหารที่ใช้แล้วไปรวมที่ถังเพื่อดูดกลับมาใช้ใหม่ [/FONT] <table class="MsoNormalTable" style="width: 34.0%" id="table43" width="34%" border="0" cellpadding="0"><tbody><tr style="height: 137.25pt"><td style="padding:.75pt .75pt .75pt .75pt;height:137.25pt"> [FONT=Tahoma]http://www.thaigoodview.com/library/...s/image004.jpg[/FONT] </td></tr><tr style="height: 27.0pt"><td style="height: 27.0pt; padding: .75pt; background: yellow"> [FONT=Tahoma] รูปภาพการปลูกพืชแบบให้สารละลายไหลผ่านรากพืชเป็นแผ่นบางๆ[/FONT][FONT=Tahoma] [/FONT][FONT=Tahoma]ที่มา : ถวัลย์[/FONT][FONT=Tahoma], 2534[/FONT] [FONT=Tahoma] ข้อดีและข้อเสียของระบบ [/FONT] [FONT=Tahoma]N.F.T. [/FONT] <table id="table23" width="100%" border="3"><tbody><tr><td width="231"> [FONT=Tahoma] ข้อดี[/FONT] </td><td> [FONT=Tahoma] ข้อเสีย[/FONT] </td></tr><tr><td width="231">[FONT=Tahoma]1.[/FONT][FONT=Tahoma]ระบบการให้สารละลายแก่พืชไม่ยุ่งยาก[/FONT]</td><td>[FONT=Tahoma]1.[/FONT][FONT=Tahoma]ราคาค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ขาตั้งทำจากโลหะ[/FONT]</td></tr><tr><td width="231">[FONT=Tahoma]2.[/FONT][FONT=Tahoma]ทำการป้องกันและกำจัดเชื้อโรคพืชต่าง ๆ ในสารละลายได้ง่าย[/FONT]</td><td>[FONT=Tahoma]2.[/FONT][FONT=Tahoma]เป็นระบบที่ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสที่ระบบจะเสียได้ง่าย และพืชจะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว[/FONT]</td></tr><tr><td width="231">[FONT=Tahoma]3.[/FONT][FONT=Tahoma]เป็นระบบที่มีการใช้น้ำและธาตุอาหารอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด[/FONT]</td><td>[FONT=Tahoma]3.[/FONT][FONT=Tahoma]ต้องใช้น้ำที่มีสิ่งเจือปนอยู่น้อย (สารละลายต่างๆ) ถ้ามีสิ่งเจือปนอยู่มากจะเกิดการสะสมของ เกลือบางตัวที่พืชใช้น้อยหรือไม่ดูดใช้เลยสะสมอยู่ในสารละลาย ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนสารละลายบ่อยๆ ทำให้สิ้นเปลือง[/FONT]</td></tr><tr><td width="231">[FONT=Tahoma]4.[/FONT][FONT=Tahoma]ไม่มีวัสดุปลูกที่ต้องกำจัด[/FONT]</td><td>[FONT=Tahoma]4.[/FONT][FONT=Tahoma]มีปัญหามากเกี่ยวกับการสะสมของอุณหภูมิของสารละลาย โดยเฉพาะในเขตร้อนมีผลต่อการละลายตัวของออกซิเจนในสารละลายลดลง จะทำให้พืชอ่อนแอรากถูกทำลายโดยโรคพืชได้ง่าย การเจริญเติบโตลดลง จนถึงไม่สามารถปลูกพืชได้เลย[/FONT]</td></tr><tr><td width="231">[FONT=Tahoma]5.[/FONT][FONT=Tahoma]สามารถปลูกพืชได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี ไม่เสียเวลาในการเตรียมระบบปลูก เช่นสามารถปลูกผักสลัดได้ถึง 8-10 ครั้ง/ปี[/FONT]</td><td>[FONT=Tahoma]5.[/FONT][FONT=Tahoma]มีการแพร่กระจายของโรคพืชบางชนิดอย่างรวดเร็ว[/FONT]</td></tr></tbody></table>[FONT=Tahoma]วัสดุ-อุปกรณ์ [/FONT] [FONT=Tahoma] 1. ภาชนะปลูก[/FONT][FONT=Tahoma] ควรเลือกภาชนะปลูกให้เหมาะกับชนิดของพืช โดยคำนวณคร่าวๆเกี่ยวกับรูปทรง และขนาดปริมาณของรากพืชแต่ละชนิด [/FONT] [FONT=Tahoma] และควรเป็นภาชนะทึบแสงเพื่อที่จะไม่เก็บความร้อน อาจใช้ถังน้ำพลาสติกสีดำ หรือกล่องโฟมหุ้มด้วยพลาสติกสีดำ ซึ่งทำให้รากพืชอยู่ในที่เย็นกว่าส่วนต้น ทั้งยังช่วยลดการเกิดตะไคร่น้ำที่รากได้อีกด้วย[/FONT] [FONT=Tahoma] 2.เมล็ดพันธุ์[/FONT][FONT=Tahoma] ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงประมาณ [/FONT][FONT=Tahoma]90 % และบอกอายุของเมล็ดพันธุ์ด้วย ที่สำคัญควรสะอาดดูดซับน้ำได้ดี มีความพรุนเพื่ออากาศจะได้ไหลผ่านได้ดี[/FONT] [FONT=Tahoma] 3.วัสดุรองรับต้นพืช[/FONT][FONT=Tahoma] ใช้แผ่นโฟมเนื้อแน่นละเอียด ตัดให้มีขนาดพอดีกับภาชนะที่ใช้ปลูก เจาะรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง [/FONT] [FONT=Tahoma]2 ซม. กะระยะห่างให้พอเหมาะกับชนิดของพืชที่ต้องการปลูก[/FONT] |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:59 |
vBulletin รุ่น 3.8.7
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด