เว็บการ์ตูนหรอยกู

กลับไป   เว็บการ์ตูนหรอยกู > บล็อก > นายโอมเทพไตรกีฬา

Rate this Entry

คิดกันแล้วหรือยัง!! วางแผนชีวิต ก่อนวางแผนเงินทอง

โพสเมื่อ 15-09-2011 เวลา 14:29 โดย ohmohm



ก่อนจะวางแผนการเงิน ควรจะวางแผนชีวิตก่อน คนไม่วางแผนชีวิตเหมือนคนเดินในถ้ำมืด เดินไปไม่ถูกคลำทางไปเรื่อยๆ ...

หากใครที่เคยพลิกหนังสือเรื่อง "เข็มทิศหัวใจ" คงพอรู้ว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อ.. "ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ" เธอเลือกที่จะดำเนินชีวิตอย่างไร และหาความสุขง่ายๆ จากเรื่องใกล้ตัวได้อย่างไรบ้าง

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจอันถดถอยอยู่ในเวลานี้ อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกย่ำแย่ แต่การใช้ชีวิตอันเรียบง่ายสไตล์ศิริรัตน์ ทำให้เธอไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเศรษฐกิจมากนัก

เธอเล่าถึงแบบฉบับการจัดการเงินทองว่า โดยส่วนตัวแล้ว ในเรื่องของการใช้จ่าย มักจะจ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น บัตรเครดิตก็มีแค่ใบเดียว เลือกบัตรที่สามารถต่อรองเพื่อไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี และใช้จ่ายเท่าไหร่ ก็ให้หักบัญชีในเดือนนั้นทั้งก้อนเลย เพราะฉะนั้น ต้องแน่ใจว่ามีเงินในบัญชีให้ใช้จ่าย จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องดอกเบี้ยของบัตรเครดิตที่สูงลิ่ว

"หลายคนเคยพูดว่าควรจะใช้เงินสดมากกว่าเครดิต เพราะจะได้ไม่ซื้อของชิ้นใหญ่ แต่โดยส่วนตัว คิดว่า ก่อนจะตัดสินใจใช้จ่ายทุกครั้ง หากเราใช้อย่างรู้ว่าเราซื้อเพื่ออะไร ใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน ก็จะทำให้เราใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นจริงๆ ตัวเองเป็นคนชอบซื้อของกับบัตรเครดิตเพราะได้สะสมคะแนนใช้แลกตั๋วเครื่องบินฟรีในเวลาไปไหนต่อไหน"

วิธีง่ายๆ ที่ศิริรัตน์ทำคือ เธอจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ก่อน เหลือเท่าไหร่แล้วค่อยใช้เท่านั้น ไม่กู้ ลงทุนเท่าที่มี ไม่ยอมให้ดอกเบี้ยมาเป็นตัวบังคับให้ชีวิตของเราหันซ้ายหันขวาตาม

"จริงอยู่ ที่เศรษฐกิจมีขึ้นลงตามปัจจัยกลไกของตลาด ถ้าจะไม่ให้มีผลกับเรา ก็ต้องไม่วิ่งตามตลาด ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนยิ่งง่ายกว่าเจ้าของบริษัท รู้ว่าตัวเองมีรายรับเท่าไหร่ ก็รู้ว่าจะจ่ายออกได้เท่าไหร่ เป็นโอกาสที่ดีเสียอีกที่จะได้เริ่มจัดระเบียบการใช้จ่ายให้ตัวเองเสียที อาหารข้างนอกแพงมากก็ซื้อทานน้อยลง

ก่อนนอนตั้งปุ่มหุงข้าวอัตโนมัติ เช้าข้าวสุกแล้ว ตื่นเช้าสักนิด ได้มีเวลาเงียบๆ อยู่กับตัวเองก่อนคนอื่นตื่น ไม่ต้องรีบตื่น รีบกินแล้วรีบออกไปเหมือนหนูถีบจักร มีเวลาทำอาหารง่ายๆ ที่ดีกับสุขภาพของเรา ไปทานกับเพื่อนที่ทำงาน อร่อยกว่า สนุกกว่า และประหยัดกว่าเป็นไหนๆ"

ศิริรัตน์บอกว่า เมื่อไหร่ที่คนเรายืนได้ด้วยตัวเอง แม้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ เราจะแยกตัวเองออกมาได้จากกลไกของเศรษฐกิจ ก็จะสามารถเห็นภาพได้ชัดกว่าเดิม เพราะไม่ลงไปคลุกกับมันเหมือนก่อน การตัดสินใจจะเฉียบคมแม่นยำกว่าเยอะ

"หลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าสภาวะภายนอกจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกว่า กระทบกับตัวเองน้อย เป็นเพราะมักหาวิธีใช้จ่ายที่เหมาะสมกับตัวเองเสมอ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ

เช่น จะหาแหล่งซื้ออาหารที่สด ไม่แพง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเรา ซึ่งแหล่งซื้อของเหล่านี้ หาได้ง่ายมากขึ้น ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักล้างต่างๆ เลือกใช้ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ ซึ่งราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เลิกซื้อผักจากซูเปอร์

เพราะไม่สดพอและมีราคาแพงมาก จะเลือกซื้อผักปลอดสารจากพ่อค้าที่ปลูกเองและนำมาขายตรง ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดที่ไปไหนมาไหนสะดวกสบายกว่าในกรุงเทพฯ ไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำมันแพง เพราะขับรถวันละไม่เกิน ครึ่งชั่วโมงก็ไปครบทุกที่ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตถูกกว่ากันเยอะ ไม่เสียเงินเสียเวลาไปหาหมอมากเหมือนเก่า เป็นอะไรใช้ธรรมชาติบำบัดเอง ออกกำลังดูแลตัวเอง

โดยเฉพาะอาหารสำคัญมาก เรากินอย่างไรร่างกาย ก็แสดงให้เราเห็นถึงผลเช่นนั้น"

แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ศิริรัตน์บอกว่า สิ่งที่ทำให้เราต้องใช้เงิน ไม่ได้เกิดจากความจำเป็นที่ต้องใช้เสียทีเดียว ลองมองดูอีกครั้งว่า ทุกครั้งที่เรารูดบัตร เราซื้อความสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว ซื้อเพื่อลดความวุ่นวายทางจิตใจของเราเอง หรือซื้อเพียงเพื่อเราจำเป็นที่จะต้องมีเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นต่างหาก

หากเรารู้ทันในความอยากที่เกิดขึ้นในใจของเราตัวนี้ เราจะไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นนักการเงินที่รอบรู้ เราแค่เริ่มที่จะต้องหาทางอุดรูรั่วในหัวใจของเราเองก่อน เพราะหากเราไม่รู้ต้นเหตุของจุดรั่ว หาเท่าไหร่ก็คงไม่พอ ทั้งชีวิต เราคงต้องวิ่งตามตัวเลขในบัญชีอย่างไม่มีวันรู้จบ

หากเราเริ่มซ่อมรูรั่วในใจ ก็จะเริ่มเห็นว่า ทุกอย่างที่เราหา เกิดจากการต้องการความยอมรับจากผู้อื่น หรือต้องการที่จะหนีจากความกลัวว่าวันหนึ่งจะมีไม่พอ แต่ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่ หากเรายึดเอาจำนวนเงินในบัญชีเป็นสิ่งอ้างอิงตัวตนของเรา เป็นตัวยืนยันความปลอดภัยในชีวิตของเรา เป็นทุกอย่างที่จะบันดาลความสุขให้เรา ชีวิตเราก็จะเหมือนวิ่งวนอยู่ในอ่าง แล้วจะพลอยทำให้เรารู้สึกหมดคุณค่าไร้ความหมาย หากตัวเลขที่เราเคยมีลดน้อยลงไป

ศิริรัตน์ แนะนำว่า ให้ทุกคนวางแผนชีวิตก่อนวางแผนการเงิน คือต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการที่จะมีชีวิตอย่างไร ทางเดินไหนที่จะทำให้ชีวิตเรามีคุณค่ามากที่สุด เพราะหากเราไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ก็เหมือนกับคนที่เดินบนทะเลทราย เจอเพชรพลอยมากมาย เดินเก็บใส่ถุง แบกหนักขึ้นทุกวัน แต่เดินวนไปวนมากลางทะเลทรายอย่างไม่รู้จุดหมาย ก็เลยตายแบบหนักๆ ถามว่า คุ้มกันหรือเปล่า คุ้มกันไหมกับเวลาและแรงงานที่สูญเสียไปกับการหาทั้งชีวิต และสุดท้ายก็คว้าอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

"ก่อนจะวางแผนการเงิน ควรจะวางแผนชีวิตก่อน คนไม่วางแผนชีวิตเหมือนคนเดินในถ้ำมืด เดินไปไม่ถูกคลำทางไปเรื่อยๆ ปล่อยให้คนอื่นชนไปทางโน้นทีผลักไปทางนี้ที แล้วจบการเดินทางของชีวิตแบบเบลอๆ

อ้าว จบแล้วเหรอ ต้องตายแล้วเหรอ เดี๋ยวก่อนยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชีวิตเลย เสียใจด้วยค่ะ อยากไม่วางแผนชีวิตเอง เวลาหมดแล้ว"

สำหรับ เรื่องของการออมนั้น ปัจจุบันศิริรัตน์บอกว่าเธอเน้นทำประกันสุขภาพ เพราะเวลาจะตายไม่อยากให้เป็นภาระของใคร เนื่องจากไม่มีลูก พอทำประกันแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล เพราะประกันเขาจะส่งคนมาดูแลเราอย่างดีเขากลัวเราตาย เขาต้องจ่ายเงินเยอะ และหากต้องตายจริงๆ ก็มีเงินทำศพ

"ตอนนี้ทำประกันแบบมีเงินให้หลังอายุ 60 ถึงแม้ได้นิดหน่อย แต่เราไม่ได้ใช้เยอะเมื่อถึงตอนนั้น หากไม่ทำอะไรก็คงมีเงินใช้จ่าย ส่วนเรื่องลงทุน ไม่เอาเลย ทำไม่เป็น ไม่อยากปวดหัวเวลาหุ้นขึ้นลงกลัวหัวใจวาย แต่ชอบซื้อที่ดินต่างจังหวัดกว้างๆ ที่มีน้ำสมบูรณ์ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีที่ปลูกผักกินเอง ไม่ต้องซื้อเขากิน จะได้ไม่ต้องเก็บเงินเยอะ "

เธอยังมีข้อแนะนำสำหรับคนที่เป็นหนี้ว่า อย่าเป็นหนี้ดีที่สุด แต่ถ้าเผลอมีหนี้ไปแล้ว หาทางจ่ายให้เร็วที่สุดอย่างแรก หยุดใช้จ่าย ตัดบัตรเครดิตให้หมดทุกใบ ของที่ซื้อผ่อนมาส่งคืนให้หมด พูดง่ายๆ ให้เขายึดไปเลย

"ไม่มีทีวี ดีเสียอีกได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ อ่านหนังสือที่มีประโยชน์แทน ไม่มีรถขับ ก็ไม่ต้องไปไหนมาก ประหยัดดี ที่สำคัญอย่าหน้าบาง ติดเงินแบงก์ก็คุยกับเขา ว่าจะหามาจ่ายแน่ แล้วถามว่ามีทางให้ดอกเบี้ยวิ่งช้ากว่านี้ได้ไหม ช่วยอะไรได้บ้าง แบงก์ส่วนใหญ่เห็นใจคนที่เข้ามาคุยกัน

แต่ไม่เห็นใจพวกที่ชอบหลบหน้า หลบไม่ดี ดอกเบี้ยยิ่งวิ่งเร็ว การปิดหูปิดตาไม่ดูใบทวงหนี้ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป จะทำให้เราไม่รู้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหนและควรทำอย่างไรต่อไป ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่"

ศิริรัตน์ เล่าว่า เคยมีคนส่งจดหมายมาบอกว่ามีหนี้สินอยากฆ่าตัวตาย ก็บอกเขาว่าอย่าเพิ่งตายเดี๋ยวลูกเมียเดือดร้อน ก่อนจะตายต้องบอกให้พวกเขารู้ก่อนว่าเขากำลังจะเจออะไร คุยกันกับทุกคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ลูก

บอกความจริง บอกพวกเขาว่า ตอนนี้ เราไม่โอเค แต่พวกเราจะโอเคถ้าเราร่วมมือกัน ให้ทุกคนมีส่วนออกความเห็นว่าจะจัดการอย่างไร ใครพอจะตัดค่าใช้จ่ายใดได้บ้าง ทำให้เป็นเรื่องท้าทายของครอบครัว

อย่าทำให้พวกเขาและตัวคุณเองรู้สึกว่าเป็นภาระของคนๆ เดียว เพราะทุกคนร่วมกันจ่ายก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ มีของอะไร ขายได้ก็ขายเลย ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ลูกเมียของเราจะนับถือเราหากเราพูดความจริง มากกว่าโกหกเขาแล้วพวกเขามารู้ทีหลังเมื่อสายเสียแล้ว

ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ปีละเป็นล้าน ต้องขับรถวันละ 2 ชั่วโมงไปโรงเรียน ก็หาโรงเรียนใกล้บ้าน ที่ถูกกว่า ให้เขามีเวลาได้เล่นมากกว่าเดิม

"ตอนนั้นบอกเขาไปว่า การที่เราตัดทอนขายของที่เคยมีไป ไม่ได้ทำให้เรามีศักดิ์ศรีน้อยลงกว่าเดิม ตรงกันข้าม เราจะรู้สึกนับถือตัวเองมากกว่าเดิมเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่แก้ไม่ได้ แต่อย่าแก้คนเดียวเท่านั้นเอง"

หลากแง่มุมของชีวิต หลายแง่มุมของเรื่องเงินทอง ที่น่าจะดึงให้ใครหลายคนที่มองว่าเงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต หันมาใช้ชีวิตให้ช้าลง แล้วคุณอาจจะพบว่า นั่นเป็นสะพานทอดยาวไปสู่หาความร่ำรวยสุขอย่างแท้จริง

Total Comments 0

Comments

 



ออกจากระบบ | RoiGOo เว็บการ์ตูนหรอยกู | เอกสาร | ไปบนสุด

vBulletin รุ่น 3.8.7
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด